หน้ากากอนามัย เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคปัจจุบันที่ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ฝุ่นละออง และมลพิษต่าง ๆ ที่ผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จนอาจกล่าวได้ว่า หน้ากากอนามัย เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ที่เราทุกคนต้องมีไว้สวมใส่แทบจะตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน และยิ่งผู้ที่ต้องทำงานในโรงงาน อุตสาหกรรม หรือสถานที่ที่ต้องพบเจอกับเชื้อโรคและก๊าซพิษต่าง ๆ เป็นประจำ การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นวิธีที่จะช่วยปกป้องความปลอดภัยให้กับสุขภาพและระบบทางเดินหายใจได้มากขึ้น โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก และทุกคนสามารถเอื้อมถึงได้จากเรทราคาที่มีให้เลือกมากมายในท้องตลาด

อย่างไรก็ตาม หน้ากากแต่ละประเภทก็มีประสิทธิภาพการป้องกัน รวมทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ในบทความนี้จึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับหน้ากากอนามัยแต่ละประเภท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม

หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

หน้ากากอนามัย หน้ากากทางการแพทย์

เราสามารถพบเห็นการใช้งานของหน้ากากประเภทนี้ได้ทั่วไป เพราะนอกจากจะหาซื้อง่าย ราคาไม่สูงมากแล้ว ยังสวมใส่สะดวก ไม่ทำให้ผู้สวมใส่เกิดความรู้สึกอึดอัดมากจนเกินไป โดยส่วนมากหน้ากากอนามัยทางการแพทย์จะถูกผลิตขึ้นมาจากผ้าหรือพอลิโพรไพลีน (PP) ซึ่งเป็นพลาสติกเกรดที่มีความปลอดภัย ใช้สำหรับการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ ด้วยการยับยั้งเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่แพร่ผ่านกระจายผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ ได้มากถึง 99% หน้ากากทางการแพทย์ยังสามารถช่วยป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กสุด 3 ไมครอน สวมใส่ง่าย เพียงหันด้านสีเขียวที่จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันไว้ด้านนอก และแนะนำให้สวมทับ 2 ชั้น เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่มากขึ้น

เหมาะสำหรับ : บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานหัตถการทางการแพทย์หรือทันตแพทย์ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย คนไข้ พนักงานบริการด้านเสริมความงามต่าง ๆ และบุคคลทั่วไป

ข้อควรพิจารณา

  • เนื่องจากหน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้นมีวางจำหน่ายทั่วไปในราคาที่แตกต่างกัน ก่อนการเลือกซื้อ จึงควรพิจารณาจากยี่ห้อที่เชื่อถือได้ รวมถึงศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันที่ระบุไว้ในบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด
  • หน้ากากประเภทนี้เป็นแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่สามารถนำไปซักทำความสะอาดหรือฉีดพ่นฆ่าเชื้อแล้วนำกลับมาใช้ได้ เพราะฤทธิ์กัดกร่อนจากน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อจะไปทำลายสารเคลือบกันซึมให้เสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้เชื้อต่าง ๆ สามารถแทรกซึมผ่านเข้ามาได้ง่าย

หน้ากากคาร์บอน

หน้ากากคาร์บอน หน้ากากอนามัยสีดำ

หน้ากากอนามัยประเภทนี้มาจากเส้นใยสังเคราะห์ถึง 4 ชั้น มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นละอองเล็กสุดถึง 3 ไมครอน รวมทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้มากถึง 95% เป็นหน้ากากที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพคล้ายกับหน้ากากทางการแพทย์ แตกต่างกันตรงที่หน้ากากคาร์บอนจะมีส่วนประกอบพิเศษเป็นชั้นคาร์บอน (Carbon Activated) เหมือนกับในเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ รวมถึงกลิ่นของสารเคมีในอุตสาหกรรมโรงงานหรืองานช่าง เราอาจพบเห็นการใส่หน้ากากคาร์บอน หรือหน้ากากอนามัยสีดำได้ทั่วไป และเช่นเดียวกับหน้ากากทางการแพทย์ การสวมใส่หน้ากากคาร์บอน 2 ชั้นก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันที่ดีขึ้น

เหมาะสำหรับ : ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์  โลหะ และสิ่งทอ ผู้ที่ทำงานช่างทั้งงานก่อสร้างและงานซ่อมเครื่องยนตร์ที่ต้องเจอกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ของสารเคมี ใช้ได้ทั้งในทางการแพทย์ ป้องกันการติดเชื้อ และยังใช้ได้กับบุคคลทั่วไปที่ต้องพบเจอกับฝุ่นควันและมลพิษในสภาพแวดล้อมจำนวนมาก

ข้อควรพิจารณา

  • การใช้งานหน้ากากคาร์บอนควรเป็นแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพราะการนำกลับมาซักล้างในแต่ละครั้งจะทำให้ประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นและการดูดซับกลิ่นลดลง
  • ตรวจสอบสภาพก่อนการใช้งานอยู่เสมอ หากพบรอยรั่วหรือขาด ไม่ควรนำมาใช้งานต่อ

หน้ากาก N95

หน้ากาก N95

หน้ากาก N95 เป็นหน้ากากอนามัยที่ผลิตขึ้นจากโพลีโพรพิลีน (PP) มีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ดีกว่าหน้ากากอนามัยทั่ว ๆ ไป ด้วยรูปทรงที่ครอบคลุมช่วงจมูกและปากของผู้สวมใส่ได้อย่างมิดชิด ส่งผลให้สารคัดหลั่งและเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้ หน้ากาก N95 สามารถกรองอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากสุดได้ถึง 0.3 ไมครอน และสามารถดักจับฝุ่นจิ๋วอย่าง PM2.5 และ PM10 ได้มากถึง 95% จึงทำให้ในปัจจุบันที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยฝุ่นและมลภาวะต่าง ๆ ผู้คนจึงเลือกหยิบหน้ากาก N95 มาใส่กันมากขึ้น

เหมาะสำหรับ : บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานอยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แพร่กระจายในอากาศเข้าสู่ทางระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่อยู่อาศัยหรือเดินทางผ่านพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อยู่หนาแน่น

ข้อควรพิจารณา

  • ด้วยความที่ชั้นกรองมีความหนาและการสวมใส่ที่รัดกุม จึงทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดขณะที่สวมใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของระบบทางเดินหายใจควรหลีกเลี่ยงการใส่หน้ากาก N95 เพราะจะทำให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องอย่างหัวใจและปอดทำงานหนักขึ้น และผู้สวมใส่จะหายใจได้ลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เป็นหน้ากากอนามัยประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่

หน้ากาก FFP

หน้ากาก FFP1 FFP2 FFP3

หน้ากาก FFP มีรูปทรงและคุณสมบัติการป้องกันคล้ายกับหน้ากาก N95 ที่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยสามารถป้องกัน PM 2.5 และ PM10 ได้ไม่น้อยกว่า 94% แต่สิ่งที่ทำให้หน้ากาก FFP แตกต่างจาก N95 นั่นก็คือ ประสิทธิภาพในการป้องกันสารเคมีและฟูมโลหะ หรือโลหะที่เป็นพิษหลากหลายชนิด ที่มีนอกเหนือจาก N95 หน้ากาก FFP สามารถแบ่งได้ตามประสิทธิภาพในการป้องกันจาก FFP1 < FFP2 < FFP3 เรียงจากน้อยไปมากตามลำดับ นอกจากนั้น ในหลาย ๆ รุ่นจะมีการติดตั้งวาล์วสำหรับกรองอากาศ เพื่อให้ผู้ใช้งานหายใจได้อย่างสะดวกมากยิ่งในขณะที่สวมใส่

เหมาะสำหรับ : สามารถใส่ใช้งานได้ในหลากหลายวงการ ทั้งวงการแพทย์ อุตสาหกรรมที่ต้องข้องเกี่ยวกับโลหะ รวมทั้งใช้ได้กับคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคจากคนสู่คนจากทุกทิศทาง

ข้อควรพิจารณา

  • เป็นหน้ากากอนามัยประเภทใช้ครั้งแล้วทิ้ง เนื่องจากการซักล้างจะไปทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลงเหมือนกันหน้ากากอนามัยประเภทอื่น
  • หน้ากาก FFP มีประสิทธิภาพในการป้องกันฟูมโลหะได้ดีพอสมควร แต่หากต้องทำงานอยู่ในสถานที่ที่มีความเข้มข้นของสารเคมีหรือก๊าซที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพสูง แนะนำให้เลือกใช้หน้ากากเฉพาะทางในการป้องกันสารพิษเหล่านั้น

หน้ากากผ้า / หน้ากากฟองน้ำ

หน้ากากผ้า หน้ากากฟองน้ำ

หน้ากากอนามัยทั้ง 2 ประเภทนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันคล้ายกัน นั่นคือ ปกป้องผู้สวมใส่จากการกระจายของสารคัดหลั่งที่มาจากการไอและจาม แต่ไม่สามารถกรองฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ได้ จึงไม่ปลอดภัยสำหรับการสวมใส่ในที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่น มลพิษ หรือสถานที่ที่มีการรั่วไหลของสารเคมีและก๊าซพิษได้ ข้อดีของหน้ากากผ้าและหน้ากากฟองน้ำ คือ สวมใส่สบาย ไม่อึดอัด ระบายอากาศได้ดี นอกจากนั้นยังสามารถนำไปซักทำความสะอาด ผึ่งให้แห้งได้อย่างรวดเร็ว และนำกลับมาใช้ใหม่ได้

เหมาะสำหรับ : งานทำความสะอาดและซ่อมบำรุงทั่วไปที่ไม่เสี่ยงต่อการสูดดมสารเคมีหรือก๊าซอันตราย หากเป็นพื้นที่ที่มีฝุ่นปริมาณมาก แนะนำให้ใส่ 2 ชั้น หรือสวมทับกับหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากคาร์บอน

ข้อควรพิจารณา

  • เนื่องจากเป็นหน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำสุดในบรรดาที่กล่าวมา จึงควรใช้งานได้ความระมัดระวัง ไม่ควรใช้กับงานที่ต้องเสี่ยงในการรับฝุ่นหรือสารที่อยู่นอกเหนือการป้องกัน
  • ถึงแม้จะเป็นหน้ากากประเภทที่สามารถซักทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่การซักล้างเป็นประจำนั้นก็ส่งผลให้เส้นใยของผ้าหรือฟองน้ำถูกทำลายลงไปทีละน้อย ประสิทธิภาพในการป้องกันจะค่อย ๆ เสื่อมลงในแต่ละครั้งที่ซัก ดังนั้น จึงควรใช้งานตามจำนวนครั้งหรือระยะเวลาที่โรงงานผู้ผลิตได้มีการระบุไว้

หลายคนคงเคยได้ยินว่า หน้ากากอนามัยไม่สามารถป้องกันฝุ่นละออง เชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียได้ 100% แต่การสวมใส่หน้ากากอนามัยก็เป็นเหมือนกับปราการด่านแรกที่จะช่วยปกป้องคุณจากสิ่งเหล่านั้นได้ดีพอสมควร หากเข้าใจวิธีการใช้งานและสวมใส่อย่างถูกต้อง การเลือกหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรอง และมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะมองข้ามไปไม่ได้ เพื่อปกป้องสุขภาพของตนเอง และยังเป็นการรับผิดชอบต่อส่วนรวมในการยับยั้งเชื้อที่อยู่ในร่างกายเราไม่ให้แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้อย่างตรงจุด

 

ขอขอบคุณข้อมูล

www.tropmedhospital.com

www.lpch.go.th