การวางเครื่องฟอกอากาศให้ถูกตำแหน่งมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการฟอกอากาศในบ้าน เพราะแม้เครื่องจะมีสเปกดีแค่ไหน หากตั้งผิดจุดก็อาจดูดอากาศเสียได้น้อยลง และกระจายอากาศสะอาดได้ไม่ทั่วถึง
เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างเต็มที่ ควรวางไว้ในตำแหน่งที่ อากาศไหลเวียนดี ไม่ควรถูกกีดขวางด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือผนัง และควรอยู่ใกล้บริเวณที่เป็น แหล่งกำเนิดฝุ่นหรือกลิ่น เช่น ใกล้ประตูทางเข้า หรือมุมที่ใช้งานบ่อย
การทำเช่นนี้จะช่วยให้เครื่องสามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้รวดเร็วขึ้น และทำให้บ้านของคุณรู้สึกสะอาดและสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Key Takeaways
- ตำแหน่งการวางเครื่องฟอกอากาศมีผลต่อประสิทธิภาพโดยตรง ควรวางในจุดที่ลมหมุนเวียนดี ไม่มีสิ่งกีดขวาง และใกล้แหล่งมลพิษในบ้าน เพื่อให้อากาศสะอาดเร็วขึ้น
- ขนาดห้องต้องสัมพันธ์กับพลังฟอกอากาศ (CADR) ห้องใหญ่ควรใช้เครื่องที่มี CADR สูง เพื่อให้ฟอกอากาศได้ทั่วถึงและรวดเร็ว
- ระบบกรองคุณภาพดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน เลือกแผ่นกรอง HEPA และคาร์บอน เพื่อดักฝุ่น PM2.5 ลดกลิ่น และลดสารก่อภูมิแพ้ได้มีประสิทธิภาพ
- โหมด Auto และเซ็นเซอร์ PM2.5 ทำให้การใช้งานง่ายและประหยัดไฟ เครื่องจะปรับความแรงเองตามคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์
เครื่องฟอกอากาศช่วยลดฝุ่น ควัน และปัญหาสุขภาพได้อย่างไร
เครื่องฟอกอากาศมีบทบาทสำคัญในการลดฝุ่นละออง ควันจากการปรุงอาหาร ขนสัตว์ ไรฝุ่น รวมถึงสารระเหยในอากาศ
ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการแพ้ ไอ จาม หรือโรคทางเดินหายใจ การวางเครื่องในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยให้เครื่องกำจัดมลพิษเหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้สมาชิกในบ้านหายใจได้สะดวกขึ้น และช่วยลดอาการแพ้สะสมในระยะยาว
ตำแหน่งสำหรับวางเครื่องฟอกอากาศให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
การมีเครื่องฟอกอากาศ เพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ หากวางผิดตำแหน่ง ประสิทธิภาพการฟอกอากาศอาจลดลงอย่างเห็นได้ชัด การเลือกจุดวางให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้อากาศในบ้านสะอาดเร็วขึ้น ลดฝุ่น ควัน และสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตำแหน่งการวางส่งผลโดยตรงต่อการหมุนเวียนอากาศ ถ้าวางในมุมอับ มีของกีดขวาง หรือลมถ่ายเทไม่ดี เครื่องจะดึงอากาศเข้ากรองได้น้อยลง ทำให้ต้องทำงานหนักและใช้เวลานานกว่าห้องจะสะอาด
- วางใกล้แหล่งมลพิษในบ้าน เช่น ห้องครัว โต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง หรือโซนที่มีฝุ่นสะสมบ่อย
- บริเวณกลางห้องหรือพื้นที่เปิดโล่ง การวางไว้ในจุดที่ลมหมุนได้รอบตัวเครื่องฟอกอากาศทำให้อากาศสะอาดกระจายทั่วห้องได้อย่างทั่วถึง
- ใกล้ประตู หน้าต่าง หรือช่องทางที่อากาศเข้าบ้าน เครื่องฟอกอากาศสามารถดักจับฝุ่นและมลพิษได้ก่อนที่จะฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
- บนชั้นวางหรือโต๊ะที่สูงจากพื้นเล็กน้อย ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศดีขึ้น เพราะอากาศเสียมักลอยขึ้นด้านบน
5 เหตุผลว่าทำไมการจัดวางเครื่องฟอกอากาศให้ถูกที่จึงช่วยฟอกอากาศได้ดีกว่าเดิม
การจัดวางเครื่องฟอกอากาศในบ้านอย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ยังทำให้อากาศสะอาดทั่วถึงยิ่งขึ้นในทุกมุมห้อง
1.ช่วยหมุนเวียนอากาศได้ดีขึ้น
หากวางในตำแหน่งที่ลมหมุนเวียนสะดวก เครื่องจะดูดอากาศได้มากขึ้น พร้อมปล่อยอากาศสะอาดออกทั่วห้องอย่างสม่ำเสมอ
2.ลดจุดที่อากาศสกปรกค้างอยู่
มุมอับหรือหลังเฟอร์นิเจอร์เป็นบริเวณที่ฝุ่น ควัน หรือกลิ่นมักสะสม การจัดวางที่ดีจึงช่วยลดพื้นที่อับชื้นหรือมีสิ่งค้างสะสมเหล่านี้ได้
3.ทำให้ประสิทธิภาพการฟอกอากาศสูงขึ้น
เมื่ออากาศไหลผ่านเครื่องฟอกอากาศมากขึ้นจะสามารถลด PM2.5 กลิ่น และสารก่อภูมิแพ้ได้เร็วกว่าเดิม
4. ลดภาระเครื่อง ทำให้ใช้งานได้นานขึ้น
ถ้าวางผิดที่ เช่น ชิดผนังหรือถูกบังทิศทางลม เครื่องฟอกอากาศจะทำงานหนักโดยไม่จำเป็น การวางในจุดโปร่งช่วยถนอมมอเตอร์และยืดอายุการใช้งาน
5. ประหยัดพลังงาน เพราะเครื่องไม่ต้องทำงานหนัก
ถ้าวางในจุดที่อากาศหมุนเวียนดี เครื่องฟอกอากาศไม่จำเป็นต้องเร่งพัดลมแรงเพื่อดึงอากาศเข้ามาฟอก ลดการใช้ไฟ และช่วยให้การใช้งานในระยะยาวคุ้มค่ามากขึ้น
4 สิ่งที่มีผลต่อการกระจายอากาศภายในบ้าน
ก่อนวางเครื่องฟอกอากาศ ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้เพื่อให้เครื่องทำงานได้ดีที่สุด:
1.ทิศทางลมในห้อง ถ้าลมเข้าจากหน้าต่างหรือประตู ควรวางเครื่องในเส้นทางลมนั้นเพื่อดักจับฝุ่นก่อนกระจายทั่วห้อง
2.ขนาดพื้นที่ใช้สอย ห้องใหญ่ ห้องเล็ก หรือห้องแบบโอเพ่นสเปซ ล้วนมีผลต่อการไหลเวียนของอากาศและตำแหน่งวางเครื่องที่เหมาะสม
3.เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งกีดขวาง การวางเครื่องติดเฟอร์นิเจอร์มากเกินไปทำให้อากาศไหลไม่สะดวก ลดความสามารถของเครื่องฟอกอากาศลง
4. ระดับความสูงในห้อง อากาศเสียมักลอยขึ้นสูง โดยเฉพาะกลิ่นหรือควัน การวางเครื่องสูงขึ้นเล็กน้อยจึงอาจช่วยให้ฟอกอากาศได้ดีขึ้น
จุดที่ควรหลีกเลี่ยงในการวางเครื่องฟอกอากาศ
แม้เครื่องฟอกอากาศจะมีประสิทธิภาพสูงเพียงใด แต่หากวางผิดตำแหน่ง ก็อาจฟอกอากาศได้ไม่เต็มที่หรือสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
- หลังเฟอร์นิเจอร์หรือในมุมอับ อากาศเข้าถึงได้ยาก ทำให้เครื่องฟอกอากาศดูดอากาศได้น้อยลง
- ชิดกำแพงเกินไป เครื่องฟอกอากาศต้องการพื้นที่รอบตัวเพื่อหมุนเวียนอากาศ
- ใกล้แอร์หรือพัดลมโดยตรง ลมแรงอาจทำให้ค่าฝุ่นที่เครื่องวัดได้ผิดเพี้ยน หรือสูญเสียประสิทธิภาพในการดูดอากาศ
- ใกล้เพดานหรือมุมสูงเกินไป อากาศเสียที่อยู่ระดับสายตามักสะสมมากกว่า การวางสูงเกินไปอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
10 เครื่องฟอกอากาศสำหรับคนแพ้ฝุ่น ต้องมีติดบ้าน
เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้และแพ้ฝุ่นละออง เรามี 10 เครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงที่คุณควรมีติดบ้านมาแนะนำ
1.DYSON เครื่องฟอกอากาศ รุ่น BP03 Nk/Bu สีน้ำเงิน ขนาด 100 ตร.ม.

การมีเครื่องฟอกอากาศที่ช่วยดูแลพื้นที่กว้างถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้านยุคใหม่ที่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM และมลพิษในอากาศทุกวัน DYSON BP03 ตอบโจทย์เรื่องประสิทธิภาพและดีไซน์พรีเมียม พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยให้อากาศในบ้านสะอาดและสดชื่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นสินค้า
- รองรับพื้นที่สูงสุด 100 ตร.ม. เหมาะสำหรับบ้านสมัยใหม่ที่มีห้องโถงกว้างหรือคอนโดพื้นที่โอเพ่น
- กรองฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ได้ 99.95% ฟิลเตอร์ HEPA H13 แบบใหม่สามารถดักจับฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ และอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอน ได้ถึง 99.95%
- เชื่อมต่อแอป MyDyson ได้ ดูค่าฝุ่น คุณภาพอากาศ และสถานะไส้กรองแบบเรียลไทม์
- ฟิลเตอร์ HEPA H13 ขนาดใหญ่กว่าเดิม 4 เท่า อายุการใช้งานสูงสุด 5 ปี
- ทำงานเงียบแม้เปิดโหมดแรง เหมาะกับการเปิดทิ้งไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างมาก เหมาะกับบ้านที่มีห้องโล่งและเพดานสูง | ราคาสูงกว่าเครื่องฟอกอากาศทั่วไปในตลาด |
| ระบบกรองละเอียดหลายชั้น ดักจับได้ทั้งฝุ่น กลิ่น และมลพิษต่าง ๆ | ราคาฟิลเตอร์อะไหล่ / ค่าบำรุงรักษาค่อนข้างสูง เหมาะกับคนที่พร้อมลงทุนระยะยาวมากกว่า |
| แอปใช้งานง่าย ควบคุมและดูคุณภาพอากาศได้ครบ | ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ต้องเผื่อพื้นที่วาง |
| ดีไซน์ทันสมัย วางแล้วช่วยเสริมลุคบ้านได้ | หาของเปลี่ยนไส้กรองยาก ทำให้ต้องวางแผนเปลี่ยนล่วงหน้า |
| ทำงานเงียบ เปิดตลอดคืนได้โดยไม่รบกวน | ฟีเจอร์บางอย่างอยู่ในแอปเท่านั้น |
2.เครื่องฟอกอากาศ HealthPro 100 IQAir IQ-HP100

ในบ้านที่มีผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย การเลือก เครื่องฟอกอากาศ ที่มีระบบกรองละเอียดเป็นพิเศษถือเป็นเรื่องสำคัญ IQAir HealthPro 100 เป็นรุ่นที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์และผู้ใช้ทั่วโลก ด้วยความสามารถในการกรองอนุภาคขนาดเล็กมาก เหมาะกับบ้านที่ต้องการคุณภาพอากาศระดับมืออาชีพ
จุดเด่นสินค้า
- เทคโนโลยี HyperHEPA ประสิทธิภาพสูง ดักจับอนุภาคขนาดเล็กมากกว่าเครื่องกรองทั่วไป
- ครอบคลุมพื้นที่ห้องกลาง–ใหญ่ (ประมาณ 90–100 ตร.ม.) เหมาะกับบ้านที่เป็นพื้นที่โล่ง เช่น โถงรับแขกเชื่อมครัว/รับประทานอาหาร
- การจัดการเสียงและการสั่นสะเทือนดี เหมาะกับการใช้งานตลอดทั้งวัน
- ให้อากาศสะอาด หมดกังวลเรื่องละอองฝุ่น ไรฝุ่น ใช้ Premax Filter ที่จัดการกรองมลพิษในอากาศระดับอนุภาคเล็ก 0.003 ไมครอน(เล็กกว่า PM2.5 ถึง 800 เท่า) ได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 99.95%
- วัสดุแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน ออกแบบและผลิตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมาตรฐานการผลิตที่ดีที่สุด Swiss Made
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ดักจับอนุภาคเล็กถึง 0.003 ไมครอน กรองอนุภาคเล็กกว่าระดับ HEPA | อยู่ในกลุ่มราคาพรีเมียม เหมาะกับคนที่ “ตั้งใจลงทุนด้านคุณภาพอากาศ” |
| เหมาะกับคนเป็นภูมิแพ้แบบจริงจัง ถูกวางโพสิชันเป็น “Allergy Specialist” | ค่าใช้จ่ายเรื่องไส้กรองค่อนข้างสูง |
| ครอบคลุมพื้นที่ห้องกลาง–ใหญ่ตัวเดียวอยู่ | ไม่มีแอปหรือฟีเจอร์สมาร์ทแบบรุ่นใหม่ ๆ |
| การจัดการเสียงและการสั่นสะเทือนดี | เน้นกรองฝุ่นและอนุภาคเล็กโดยเฉพาะ ไม่เหมาะกับการกำจัดกลิ่นหรือสาร VOC หนัก ๆ |
| ฟิลเตอร์คุณภาพสูง อายุการใช้งานยาวกว่าเครื่องทั่วไป |
3.IQAIR เครื่องฟอกอากาศในอาคาร ATEM X

IQAir ATEM X เครื่องฟอกอากาศ คือหนึ่งในตัวท็อปที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและดีไซน์ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง ระบบกรองละเอียด และดีไซน์เรียบหรูสำหรับบ้านยุคใหม่
จุดเด่นสินค้า
- ระบบกรอง HyperHEPA ประสิทธิภาพสูง ดักจับอนุภาคได้เล็กถึงระดับ 0.003 ไมครอน ซึ่งละเอียดกว่า HEPA ทั่วไปหลายเท่า
- รองรับพื้นที่ขนาดใหญ่สูงสุดประมาณ 156 ตร.ม. ฟอกอากาศได้รวดเร็ว เหมาะกับบ้านพื้นที่กว้าง ห้องนั่งเล่นแบบโอเพ่นสเปซ หรือโซนรวมหลายห้องในบ้าน
- ระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแม่นยำ เครื่องฟอกอากาศสามารถตรวจจับ PM2.5, PM10 และปรับระดับลมอัตโนมัติตามคุณภาพอากาศจริง ทำให้ใช้งานได้สะดวกและได้ผลสม่ำเสมอ
- ดีไซน์พรีเมียมแบบมินิมอล รูปทรงทันสมัย วางแล้วกลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูสวยและไม่เกะกะสายตา
- เสียงเงียบในระดับการใช้งานทั่วไป แม้เป็นเครื่องฟอกอากาศกำลังสูง แต่ยังคงมีความเงียบในระดับโหมดกลาง–ต่ำ เหมาะกับห้องนอนหรือห้องทำงาน
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| กรองละเอียดถึงระดับ HyperHEPA เหมาะมากกับคนแพ้ง่ายหรืออยากอากาศสะอาดจริงจัง | ราคาสูงกว่าเครื่องฟอกอากาศทั่วไปในตลาด |
| ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ เหมาะกับบ้าน ห้องโถง หรือพื้นที่รวม | ไม่มีแผ่นกรองถ่าน (activated carbon) จึงอาจไม่เน้นเรื่องดูดกลิ่นหรือสารระเหยมากนัก |
| ระบบเซ็นเซอร์ + โหมดอัตโนมัติ + แอปควบคุม ทำให้ใช้งานง่ายและฉลาด | ฟิลเตอร์ต้นทุนสูง ค่าบำรุงรักษาและเปลี่ยนไส้กรองอาจสูงตามไปด้วย |
| ดีไซน์พรีเมียม วางแล้วดูดีเหมือนเฟอร์นิเจอร์ ไม่เหมือนเครื่องฟอกอากาศทั่วไป | |
| ทำงานเงียบเมื่อใช้โหมดกลาง–ต่ำ เหมาะกับห้องนอนและพื้นที่ใช้ชีวิต |
4.เครื่องฟอกอากาศ เสียวหมี่ 4 Lite สีขาว

Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite เครื่องฟอกอากาศ มอบอากาศสะอาด พร้อมฟังก์ชันครบ เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็กถึงขนาดกลางในบ้านหรือคอนโด
จุดเด่นสินค้า
- ประสิทธิภาพ CADR สูง & กรองฝุ่นละเอียด 4 Lite มีค่า CADR ประมาณ 360 ลบ.ม./ชม. และสามารถกรองอนุภาคฝุ่น PM2.5 รวมทั้งละอองเกสร ขนสัตว์ ฝุ่นทั่วไป ได้ถึง ~99.97% ตามสเปกของแบรนด์
- ขนาดกะทัดรัด + เหมาะกับพื้นที่ 25–43 ตร.ม. ออกแบบมาให้พอดีสำหรับห้องนอน ห้องทำงาน หรือคอนโด ไม่เปลืองพื้นที่ตั้ง เหมาะกับคนอยู่หอหรือคอนโดเล็ก–กลาง
- ใช้งานง่าย + มีโหมดอัตโนมัติและแอปควบคุม สามารถสั่งงานผ่านแอป (Mi Home / Xiaomi Home), ตั้งเวลา เปิด/ปิด ปรับโหมด และดูค่าฝุ่นในอากาศแบบเรียลไทม์ เหมาะกับชีวิตยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวก
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| กรองฝุ่น PM2.5 และสารก่อภูมิแพ้ได้ดี 99.97% | ไม่เหมาะกับพื้นที่ใหญ่ ถ้าห้องใหญ่หรือบ้านเป็น open-space อาจไม่พอ |
| ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา วางได้แม้ในห้องเล็ก | กำลังลมและการหมุนเวียนอากาศจำกัดเมื่อเทียบกับเครื่องฟอกพื้นที่ใหญ่ |
| CADR และประสิทธิภาพดีเมื่อใช้งานห้องทั่วไป / ห้องนอน | ถ้าใช้ในห้องที่มีฝุ่นมากหรือสัตว์เลี้ยง อาจต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อย |
| มีฟีเจอร์สมาร์ท: แอปควบคุม, ตั้งเวลา, ดูค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์ | ไส้กรองเมื่อผ่านไประยะหนึ่งอาจลดประสิทธิภาพ ต้องดูแลเปลี่ยนตามรอบ |
| ราคาน่าคบกว่าเครื่องฟอกอากาศพรีเมียมหลายรุ่น | ถ้าต้องการกรองสารระเหย กลิ่นแรง หรือ VOC หนัก สมรรถนะอาจไม่พอ |
5.เครื่องฟอกอากาศชาร์ป SHARP FP-J60TA สีขาว 48 ตร.ม.

SHARP FP-J60TA เครื่องฟอกอากาศ ถูกออกแบบมาให้รองรับพื้นที่ประมาณ 48 ตร.ม. พร้อมเทคโนโลยีเฉพาะด้านที่ช่วยกรองอากาศให้สะอาดและปลอดภัยสำหรับทุกคนในบ้าน
จุดเด่นสินค้า
- เทคโนโลยี Plasmacluster + HEPA + Carbon กรองครบหลายมิติ รวมทั้งการปล่อยประจุพลาสม่าคลัสเตอร์, แผ่นกรอง HEPA, และแผ่นกรองคาร์บอน พร้อมช่วยดักฝุ่น PM2.5, ขจัดกลิ่น และลดเชื้อโรค/แบคทีเรียในอากาศได้ในขั้นตอนเดียว
- เหมาะกับพื้นที่ประมาณ 48 ตร.ม. ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือคอนโดขนาดกลาง
- ระบบเซ็นเซอร์ + ฟีเจอร์ตอบโจทย์การใช้งานจริง มีโหมดอัตโนมัติที่ปรับตามฝุ่น/กลิ่น มี Ion Shower, ตั้งเวลาได้ และมี Child Lock ทำให้ใช้งานง่าย สะดวก และเหมาะกับบ้านที่มีเด็กหรือสมาชิกหลายช่วงอายุ
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| กรองหลายชั้น ครบทั้งฝุ่น กลิ่น ไอออน ลดเชื้อโรค เหมาะกับครัวเรือนทั่วไป | ประสิทธิภาพอยู่ในระดับสำหรับห้องขนาดกลาง–เล็ก ถ้าห้องใหญ่หรือ open-space อาจฟอกไม่ทั่วถึง |
| รองรับพื้นที่ ~48 ตร.ม. เหมาะกับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือคอนโด | ถ้าใช้ในห้องใหญ่เกิน 48 ตร.ม. จะเริ่มเห็นข้อจำกัดเรื่องความเร็วในการหมุนเวียนอากาศ |
| มีฟีเจอร์อัตโนมัติ เซ็นเซอร์ ควบคุมง่าย เหมาะกับชีวิตยุคปัจจุบัน | ถ้าไม่เปิดโหมด Auto / Ion / HEPA พร้อมกัน อาจได้ประสิทธิภาพไม่เต็มที่ |
| แผ่นกรอง HEPA + Carbon + Plasmacluster ช่วยกรองฝุ่น กลิ่น และเชื้อโรค | ต้องเปลี่ยนไส้กรองตามรอบจริง ถ้าไม่เปลี่ยนอาจลดประสิทธิภาพลง |
| มีไอออนช่วยลดเชื้อโรค กลิ่น และสารก่อภูมิแพ้ เหมาะกับคนแพ้ง่าย | สำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือสารระเหยมาก อาจต้องเสริมระบบดูดกลิ่นหรือระบายอากาศควบคู่ |
6.เครื่องฟอกอากาศ Aconatic AN-APF4822

Aconatic AN-APF4822 เครื่องฟอกอากาศ จึงเหมาะกับห้องทั่วไปที่ต้องการความสะอาดขึ้นแบบไม่ยุ่งยาก และต้องการฟังก์ชันที่ครบในราคาที่จับต้องได้
จุดเด่นสินค้า
- รองรับพื้นที่ประมาณ 40–50 ตร.ม. เหมาะกับห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือคอนโดขนาดกลาง ใช้งานได้ครอบคลุมโดยไม่ต้องใช้หลายเครื่อง
- ระบบกรอง 3 ชั้น (Pre-filter + HEPA + Carbon Filter) ช่วยดักจับฝุ่น PM2.5 ฝุ่นหยาบ กลิ่นไม่พึงประสงค์ และสารระเหยเบื้องต้น เหมาะกับบ้านทั่วไปรวมถึงผู้ที่เริ่มใช้เครื่องฟอกอากาศครั้งแรก
- โหมดทำงานพื้นฐานครบ: Auto / Sleep / Timer ใช้งานง่าย ปรับลมอัตโนมัติได้ และมีโหมดเงียบสำหรับเปิดนอนตอนกลางคืน ช่วยให้ใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่รบกวน
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ราคาประหยัด คุ้มค่า เหมาะกับคนที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศพื้นฐาน | ระบบกรองไม่ละเอียดเท่าเครื่องระดับกลาง–พรีเมียม |
| ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เปิดใช้ได้ทันที พร้อมโหมด Auto | ไม่เหมาะกับพื้นที่ใหญ่เกินประมาณ 50 ตร.ม. |
| ตัวเครื่องน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก | ถ้าใช้งานในพื้นที่ฝุ่นเยอะต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อย |
| มีโหมด Sleep เงียบ ใช้ตอนนอนได้ | ฟีเจอร์ไม่เยอะ เช่น ไม่มีแอปหรือเซ็นเซอร์หลายระดับ |
| วางง่าย ขนาดไม่ใหญ่ เหมาะกับคอนโดหรือห้องทั่วไป | ประสิทธิภาพกำจัดกลิ่นและ VOC อยู่ในระดับพื้นฐาน |
7.เครื่องฟอกอากาศ Blueair รุ่น Dust Magnet 5240i

ถ้าคุณกำลังมองหา เครื่องฟอกอากาศ ที่ให้ทั้งความคุ้มค่า ดีไซน์สวย และการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสำหรับห้องขนาดเล็ก–กลาง Blueair Dust Magnet 5240i คือหนึ่งในตัวเลือกที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ ให้บ้านของคุณมีอากาศสะอาด สดชื่น และน่าอยู่ยิ่งขึ้น
จุดเด่นสินค้า
- เทคโนโลยี DustMagnet ดักจับฝุ่นก่อนตกพื้น ใช้ประจุไฟฟ้าในพรี-ฟิลเตอร์ช่วย “ดูด” ฝุ่นลอย และดักจับก่อนที่ฝุ่นจะฟุ้งหรือตกลงพื้น ทำให้บ้านสะอาดขึ้นเร็ว เหมาะกับคนแพ้ฝุ่นหรือมีสัตว์เลี้ยง
- ระบบ HEPASilent ช่วยกรองฝุ่นละเอียดและสารก่อภูมิแพ้ ผสานการกรองด้วยแผ่นกรองคุณภาพสูง + ไอออน
- ดีไซน์กะทัดรัด กลมกลืนกับสไตล์บ้านได้ง่าย ตัวเครื่องทรงสูงเพรียว ขนาดเล็ก วางได้ในทุกห้อง ไม่เกะกะสายตา
- ทำงานเงียบ เหมาะกับการเปิดตอนกลางคืน โดยไม่รบกวนผู้ใช้งาน
- ใช้พลังงานต่ำ ประหยัดไฟสำหรับการใช้งานประจำวัน ใช้ไฟเพียง 4–22 วัตต์ ทำให้เปิดใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่เปลืองค่าไฟ เหมาะกับบ้านที่ต้องการฟอกอากาศต่อเนื่อง
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ดักจับฝุ่น ละออง สารก่อภูมิแพ้ และฝุ่นละเอียดได้ดี เหมาะกับคนแพ้ฝุ่นหรือมีสัตว์เลี้ยง | สมรรถนะการฟอกเหมาะกับห้องเล็ก–กลาง (ประมาณ 20-48 ตร.ม.) ถ้าใช้ในพื้นที่ใหญ่เกินไป ประสิทธิภาพอาจลดลง |
| ดีไซน์กะทัดรัด วางง่าย ดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์ ไม่เหมือนเครื่องฟอกอากาศทั่วไป | ถ้าใช้งานในห้องใหญ่ Open-space อาจต้องเครื่องหลายตัวหรือเครื่องที่ใหญ่กว่า |
| เสียงเงียบและกินไฟต่ำ เหมาะกับการใช้งานทั้งวันและตอนนอน | ฟีเจอร์พื้นฐาน ไม่มีระบบกรองแรงพิเศษหรือฟังก์ชันครบเท่ารุ่นพรีเมียม |
| คุ้มค่ากับราคา สำหรับคนต้องการเครื่องฟอกอากาศพื้นฐาน + ประหยัดพลังงาน | หากมีฝุ่นหนัก ไรฝุ่น กลิ่นแรง หรือควันมาก อาจต้องเพิ่มพัดลมหรือระบบระบายอากาศเสริม |
| ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับคนที่เริ่มใช้เครื่องฟอกอากาศครั้งแรก | ไส้กรองต้องดูแลและเปลี่ยนตามรอบ ถ้าไม่เปลี่ยนอาจลดประสิทธิภาพลง |
8.เครื่องฟอกอากาศ SHARP FP-J30TA-A สีฟ้า

SHARP FP-J30TA-A เครื่องฟอกอากาศ มาพร้อมระบบ พลาสม่าคลัสเตอร์ + HEPA ที่ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวก เหมาะกับห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องนั่งเล่นขนาด 20–25 ตร.ม.
จุดเด่นสินค้า
- ระบบ Plasmacluster ช่วยลดเชื้อโรคและกลิ่นในอากาศ ปล่อยประจุไอออนเพื่อช่วยจัดการเชื้อโรค แบคทีเรีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้อง เหมาะกับผู้ที่แพ้ง่ายหรือเลี้ยงสัตว์ในบ้าน
- แผ่นกรอง HEPA ดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ดี ดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึงละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้ทั่วไปในบ้าน
- รองรับพื้นที่ประมาณ 20–25 ตร.ม. เหมาะกับห้องนอนหรือคอนโด ตัวเครื่องขนาดกะทัดรัดและกำลังลมเพียงพอสำหรับห้องขนาดเล็ก–กลาง
- ใช้งานง่าย ฟังก์ชันพื้นฐานครบ ปรับลมได้หลายระดับ เปิดไอออนได้ ตั้งเวลาได้ ใช้งานสะดวกสำหรับทุกคนในบ้านโดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
- ตัวเครื่องเบา เคลื่อนย้ายสะดวก วางได้ทุกมุม น้ำหนักประมาณ 4 กก. เหมาะกับบ้านพื้นที่จำกัดหรือคนอยู่คอนโด
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| กรองฝุ่น ฝุ่นละเอียด และสารก่อภูมิแพ้ มีระบบกรอง + พลาสม่าคลัสเตอร์ | เหมาะกับห้องประมาณ 20–25 ตร.ม. ถ้าใช้ในพื้นที่ใหญ่ ประสิทธิภาพอาจลดลง |
| ตัวเครื่องกะทัดรัด เคลื่อนย้ายง่าย น้ำหนักเบา | พัดลมแรงลมจำกัด เมื่อต้องฟอกอากาศในห้องที่มีฝุ่นมากหรืออากาศไม่ถ่ายเทดี |
| มีหลายโหมดการใช้งาน + ฟังก์ชันครบ เหมาะกับการใช้งานประจำวัน | ถ้าไม่เปลี่ยนแผ่นกรองตามรอบ อาจทำให้ประสิทธิภาพกรองลดลง |
| ราคาและขนาดเหมาะกับคอนโด ห้องทั่วไป คุ้มสำหรับพื้นที่เล็ก–กลาง | ระบบอาจไม่เพียงพอสำหรับการกรองสารระเหยหนักหรือกลิ่นแรงในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง |
| ทำงานเงียบพอ ให้ใช้งานตอนนอนได้โดยไม่รบกวน | เมื่อเปิดโหมดแรงเต็มที่ อาจมีเสียงและใช้พลังงานมากกว่าปกติ |
9.เครื่องฟอกอากาศ Philips AC1715 สีขาว

Philips AC1715 เครื่องฟอกอากาศ รุ่นนี้ออกแบบมาสำหรับห้องขนาดกลาง–ใหญ่ ให้ทั้งประสิทธิภาพการฟอกอากาศสูง ระบบกรองหลายชั้น และฟีเจอร์สมาร์ทที่ควบคุมได้ผ่านแอป
จุดเด่นสินค้า
- ประสิทธิภาพสูง CADR 300 m³/h ครอบคลุมห้องได้ถึง ~78 ตร.ม. มีอัตราการฟอกอากาศ (CADR) ประมาณ 300 ลบ.ม./ชม.
- ระบบกรอง 3 ชั้น NanoProtect HEPA + Carbon + Pre-filter กรองถึง 0.003 ไมครอน กำจัดอนุภาคได้ถึง 99.97% และลดไวรัส/ละอองฝอยในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สมาร์ทฟีเจอร์ครบ มีเซ็นเซอร์ PM2.5 และแสดงคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ปรับการทำงานอัตโนมัติ, มี Night Mode เสียงเบาถึง ~15 dB และเชื่อมต่อกับแอป Philips Air+
ข้อดี-ข้อเสีย
| CADR สูง 300 m³/h ฟอกอากาศได้เร็ว เหมาะกับห้องขนาดกลาง–ใหญ่ | ราคาสูงกว่าเครื่องฟอกอากาศระดับเริ่มต้น เหมาะกับคนที่ตั้งใจลงทุนด้านคุณภาพอากาศจริง ๆ |
| ระบบกรอง 3 ชั้น NanoProtect HEPA + Carbon + Pre-filter กรองอนุภาคเล็กและช่วยจัดการกลิ่นได้ดี | ไส้กรองแบบ 3-in-1 เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงกว่าฟิลเตอร์แยกชิ้นบางรุ่น |
| รองรับพื้นที่ได้ถึง ~78 ตร.ม. ใช้เครื่องเดียวจบในห้องใหญ่ หรือพื้นที่โล่งของบ้าน | รูปทรงทรงกระบอกสูง ต้องมีพื้นที่ตั้งโดยเฉพาะ ไม่เหมาะกับการวางชิดมุมหรือใต้เฟอร์นิเจอร์มากนัก |
| มีโหมด Auto และ Night Mode เสียงเบา (เริ่มต้นราว 15 dB) เปิดนอนได้ไม่กวนการพักผ่อน | เมื่อใช้โหมดแรงสุด เสียงจะดังขึ้นถึง ~50 dB ซึ่งอาจรู้สึกชัดในห้องเงียบ ๆ |
| รองรับการเชื่อมต่อแอป Air+ และบางรุ่นย่อยรองรับสั่งงานผ่านสมาร์ทโฮม ช่วยให้ควบคุมเครื่องฟอกอากาศได้สะดวก | ฟีเจอร์สมาร์ทและการเชื่อมต่อแอปต้องใช้ Wi-Fi เสถียร |
10.เครื่องฟอกอากาศ Hatari AP12R1

ถ้าคุณมองหา เครื่องฟอกอากาศ ที่ราคาไม่สูงแต่สามารถใช้ได้จริงในบ้านหรือคอนโดขนาดเล็ก–กลาง รุ่นนี้อาจเป็นคำตอบที่ดี Hatari AP12R1 เครื่องฟอกอากาศที่มาพร้อมระบบกรองพื้นฐาน เหมาะกับห้องขนาดเล็ก–กลาง และตอบโจทย์การใช้งานประจำวันโดยไม่สิ้นเปลืองค่าไฟ
จุดเด่นสินค้า
- เหมาะกับห้องขนาดเล็ก–กลาง (ประมาณ 20–32 ตร.ม.) เช่น ห้องนอน ห้องพัก คอนโด หรือห้องทำงานขนาดเล็ก–กลางอย่างพอดี
- ระบบกรองหลายชั้น + ไส้กรอง HEPA กรองฝุ่นละเอียด มีระบบกรอง 4 ขั้นตอน (pre-filter, bio/HEPA, carbon filter ฯลฯ) ที่ช่วยดักจับฝุ่นละออง กลิ่น และสารก่อภูมิแพ้
- ฟังก์ชันครบ ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มาพร้อมโหมดปรับแรงดูด 4 ระดับ, ระบบไอออนและพลาสม่า, เซ็นเซอร์ PM2.5, มีจอแสดงผลคุณภาพอากาศ และระบบตั้งเวลา/Auto Mode
ข้อดี-ข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| เหมาะกับห้องขนาดเล็ก–กลาง ใช้งานในคอนโด ห้องนอน ห้องพักได้พอดี | ถ้าใช้ในห้องขนาดใหญ่หรือ open-space อาจกรองอากาศไม่ครอบคลุมพอ |
| ระบบกรองหลายชั้นรวม HEPA + Carbon + Pre-filter ช่วยดักฝุ่น กลิ่น และสารก่อภูมิแพ้ได้ | ประสิทธิภาพการกรองพื้นฐาน ไม่เพียงพอสำหรับฝุ่นละเอียดมาก ๆ |
| มีโหมดลมหลายระดับ + เซ็นเซอร์ PM2.5 + ฟังก์ชันออโต้ ใช้งานง่ายทันทีที่เดินเข้าบ้าน | สเปก CADR และกำลังลมไม่สูงมาก ถ้าตั้งโหมดแรงสุด อาจเสียงดังกว่าโหมดปกติเล็กน้อย |
| ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย ไม่เปลืองพื้นที่ เหมาะกับคอนโด/ห้องเล็ก | ถ้าไม่เปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลา อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ |
| ราคาเข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้เครื่องฟอกอากาศ |
5 วิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับบ้านคุณ
การเลือก เครื่องฟอกอากาศ ที่เหมาะสมช่วยให้บ้านของคุณมีอากาศสะอาดขึ้น ลดฝุ่น PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ และกลิ่นต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยรุ่นและฟังก์ชันที่หลากหลาย อาจทำให้หลายคนสับสนว่าจะเลือกแบบไหนดี มาดูวิธีเลือกรุ่นที่ “ใช่” สำหรับบ้านของคุณจริง ๆ
1. เลือกตามขนาดห้อง ดูค่า CADR หรือพื้นที่รองรับของเครื่องให้เหมาะกับขนาดห้อง เช่น
- ห้องเล็ก–กลาง: CADR 150–250 m³/h
- ห้องใหญ่–โอเพ่นสเปซ: CADR 300+ m³/h
2. เลือกแผ่นกรองคุณภาพดี ควรมีอย่างน้อย
- HEPA → ดักฝุ่น PM2.5
- คาร์บอน → ลดกลิ่นและควัน
3. มีเซ็นเซอร์ฝุ่นและโหมด Auto ช่วยให้เครื่องปรับแรงลมให้เหมาะกับคุณภาพอากาศจริง ประหยัดไฟ และใช้งานสะดวกกว่า
4. ดูระดับเสียงให้เหมาะกับการใช้งาน ถ้าใช้ในห้องนอน ควรเลือกเครื่องที่มีเสียงต่ำกว่า 20–30 dB
5. คำนึงถึงค่าไส้กรองระยะยาว เลือกแบรนด์ที่ราคาไส้กรองไม่สูงเกินไป และเปลี่ยนปีละครั้ง หรือแบบคุ้มค่าในการดูแลรักษา
ก่อนเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศต้องรู้ 3 คำถามสำคัญ
3 คำถามสำคัญนี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องฟอกอากาศได้ตรงจุด คุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุดในชีวิตประจำวัน
1. เครื่องฟอกอากาศมีประโยชน์อะไรบ้าง?
เครื่องฟอกอากาศช่วยลดฝุ่น PM2.5 ไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ พร้อมทั้งลดกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นอาหาร ควัน หรือกลิ่นอับ บางรุ่นยังช่วยลดแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ ทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดหายใจได้ดีขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ และสัตว์เลี้ยง
2. เครื่องฟอกอากาศในห้องนอนจำเป็นไหม?
จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการอากาศสะอาดระหว่างพักผ่อน โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ฝุ่น PM2.5 ขนสัตว์ หรือมีอาการคัดจมูกตอนกลางคืน เครื่องฟอกอากาศช่วยดักจับฝุ่นละออง ละอองเกสร เชื้อรา และกลิ่น ทำให้หายใจสบาย หลับลึกขึ้น และลดอาการแพ้สะสมได้อย่างเห็นผล
3. เครื่องฟอกอากาศ กินไฟไหม?
เครื่องฟอกอากาศ กินไฟน้อยกว่าที่หลายคนคิด ส่วนใหญ่ใช้พลังงานเพียง 20–60 วัตต์ เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับพัดลมตัวเล็ก หรือบางรุ่นประหยัดไฟยิ่งกว่า หากเปิดทั้งวันทั้งคืน ค่าไฟจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะรุ่นที่มีโหมด Auto หรือ Sleep เพราะจะปรับระดับลมอัตโนมัติและใช้พลังงานต่ำมาก
อากาศดีในบ้าน เริ่มได้ที่การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์
เครื่องฟอกอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับยุคที่คุณภาพอากาศนับวันยิ่งแย่ลง ทั้งฝุ่น PM2.5 กลิ่น ควัน หรือสารก่อภูมิแพ้ล้วนส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง
การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับขนาดห้องและระบบกรองที่มีประสิทธิภาพ เช่น HEPA หรือคาร์บอน จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ในการทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้น หายใจได้สบายขึ้น และลดปัญหาภูมิแพ้สำหรับคนในครอบครัวได้จริง
หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับบ้านหรือคอนโด ไม่ว่าจะต้องการรุ่นสำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ใหญ่แบบโอเพ่นสเปซ
บนเว็บไซต์ OFM.co.th มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ ทั้ง Philips, Xiaomi, Sharp, Blueair, IQAir และรุ่นที่ตอบโจทย์ทุกงบประมาณ พร้อมรายละเอียดสินค้าและฟีเจอร์ครบถ้วน ช่วยให้คุณเปรียบเทียบและเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับความต้องการได้ง่ายขึ้นในที่เดียว
ดีลสุดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่! 🔥
🛍️ ซื้อครบ 999.- ใส่โค้ด “NEW10” รับส่วนลด 10% (สูงสุด 1,000 บาท)
💥รับคะแนน The 1 X3 (1,000 บาท)
🎯 ยิ่งช้อป ยิ่งลด! อย่าพลาดดีลสุดคุ้มวันนี้!
📌 ช้อปเลย 👉 https://www.ofm.co.th