กระแสการทำงานที่บ้านเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในองค์กรใหญ่ๆ ของต่างประเทศ และเริ่มมาเป็นที่นิยมในประเทศไทยเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ หรือคน Gen Y ที่มองว่าการทำงานที่บ้านจะช่วยบาลานซ์การใช้ชีวิตได้ดีกว่า มีเวลากิน เวลานอน มีเวลาให้ครอบครัว และยังใช้เวลาที่เหลือในการค้นหาตัวเองได้อีก หลายๆ บริษัทในไทยก็เริ่มเปิดโอกาสให้พนักงานได้ทำงานที่บ้าน แต่แวะเข้ามาส่งงาน อัพเดตข่าวสารการประชุมที่ออฟฟิศกันเป็นครั้งคราว  ข้อดีของการทำงานที่บ้านยังได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยหลายๆ ชิ้น ว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้ทำผลงานออกมาได้ดีขึ้น พนักงานมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น ลาป่วยน้อยลงและยังลดอัตราการลาออกของพนักงาน นอกจากนั้นยังช่วยลดต้นทุนของบริษัททั้งค่าเช่าออฟฟิศและรายจ่ายในส่วนเงินเดือนพนักงานได้อีกด้วย

แต่การทำงานที่บ้านหากไม่ได้อยู่คนเดียว จะถูกรบกวนสมาธิจากคนในครอบครัวได้ง่าย การขัดจังหวะเพียงเล็กน้อยอาจทำให้การทำงานสะดุด จนทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมายในแต่ละวัน ใครที่ต้องทำงานที่บ้านจึงควรสร้างพื้นที่ส่วนตัวสำหรับใช้ทำงานโดยเฉพาะหรือก็คือควรมี“ห้องทำงาน” เพื่อป้องกันการถูกรบกวนและเสริมสร้างบรรยากาศดีๆ ให้สามารถนั่งทำงานได้ทั้งวัน

ห้องทำงานที่บ้านควรมีบรรยากาศอบอุ่น ไม่เป็นทางการจนเกินไป

ห้องทำงานที่บ้านควรจัดให้มีบรรยากาศอบอุ่น สบายๆ ให้เหมาะที่จะใช้เวลาอยู่ได้นานโดยไม่เครียดหรืออึดอัด ห้องทำงานที่จัดและตกแต่งแบบเป็นทางการเกินไปจะทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อได้ง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างบรรยากาศให้ห้องทำงาน คือการปล่อยให้แสงส่องเข้ามาภายในห้องได้ แสงธรรมชาติจะช่วยให้ผ่อนคลายและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นได้ นอกจากนั้นการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และการทาสีห้องด้วยโทนสีอ่อน รวมถึงการตกแต่งห้องด้วยต้นไม้ โคมไฟ งานศิลปะ หรือปูพื้นด้วยพรมนุ่มๆ จะช่วยทำให้บรรยากาศในห้องทำงานดูอบอุ่นขึ้นและไม่น่าเบื่อ

ห้องทำงานที่บ้านควรมีเฟอร์นิเจอร์สำหรับจัดเก็บเอกสารหรืออุปกรณ์การทำงานโดยเฉพาะ

การต้องทำงานในห้องรกๆ คงไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่นัก ของที่วางระเกะระกะบนโต๊ะหรือตามพื้นห้องอาจสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีและความเป็นระเบียบเรียบร้อย ควรมีตู้หรือชั้นวางของสำหรับจัดเก็บเอกสารและอุปกรณ์การทำงาน แยกสิ่งของและเอกสารให้เป็นหมวดหมู่ จัดเก็บในกล่องหรือแฟ้มแล้วเก็บเข้าตู้หรือชั้นวางของ จะช่วยให้สะดวกต่อการค้นหาและการหยิบใช้งานในครั้งต่อไป การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับเก็บของควรให้ความสำคัญทั้งเรื่องดีไซน์และความเหมาะสม หากห้องทำงานมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกตู้เก็บของที่ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป แต่เพิ่มพื้นที่เก็บของด้วยการใช้โต๊ะทำงานที่มีลิ้นชักในตัว อาจเลือกตู้ที่มีบานประตูปิดทึบเพื่อเก็บสิ่งของที่ไม่ต้องการโชว์ และเลือกตู้หรือชั้นวางของแบบโปร่งสำหรับวางของตกแต่งสวยงาม เพียงเท่านี้ก็จะช่วยสร้างบรรยากาศให้ห้องทำงานที่บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

สร้างพื้นที่สำหรับผ่อนคลายไว้มุมใดมุมหนึ่งในห้องทำงานที่บ้าน

แน่นอนว่าการทำงานที่บ้านย่อมรู้สึกผ่อนคลายกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ แต่การนั่งอยู่หน้าจอคอมหรือการใช้ความคิดเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและรู้สึกเบื่อได้ ลองเพิ่มพื้นที่ผ่อนคลายไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องทำงาน ด้วยเก้าอี้สวยๆ หรือโซฟานุ่มๆ สำหรับนั่งพักผ่อน และโต๊ะกลางเล็กๆ สำหรับวางขนมกับเครื่องดื่มแก้วโปรด เพราะการหยุดพักระหว่างทำงานจะช่วยผ่อนคลายและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาได้

อยู่คนเดียวในพื้นที่จำกัดก็ไม่เป็นปัญหา เพราะห้องนอนก็สามารถเป็นโฮมออฟฟิศได้

ว่ากันว่าห้องทำงานควรจัดแยกส่วนกับห้องนอน เพราะการทำงานในห้องนอนหรือนั่งทำงานบนเตียงนอนจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และหลายคนยังเจออาการเตียงดูดจนเสียงานเสียการอีกด้วย แต่สำหรับคนที่อาศัยในคอนโด หอพัก หรืออพาร์ทเม้นท์ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด จำเป็นต้องใช้ห้องนอนเป็นที่ทำงาน สามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการแบ่งโซนสำหรับนั่งทำงานให้ชัดเจน โดยจัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ทำงานไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องนอน อาจประดับด้วยของตกแต่งเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเป็นมุมทำงานเล็กๆ

5 ไอเดียแต่งห้องทำงานช่วยปลุกไฟความคิดสร้างสรรค์

1. สไตล์มินิมอล (Minimalist)

เน้นความเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ห้องทำงานและของตกแต่งที่มีดีไซน์เรียบหรู เน้นใช้สีขาว เทา และไม้ธรรมชาติ ทำให้ห้องดูสะอาดตาและมีพื้นที่ในการทำงานมากขึ้น

2. สไตล์โมเดิร์น (Modern)

เน้นการใช้งานและความสะดวกสบาย ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ทันสมัย วัสดุที่ใช้มักเป็นโลหะ กระจก และพลาสติก มีการจัดพื้นที่ให้โปร่งและใช้งานง่าย

3. สไตล์อุตสาหกรรม (Industrial)

เน้นการใช้วัสดุที่ดูดิบ เช่น เหล็ก ปูนเปลือย และไม้เก่า สีที่ใช้มักเป็นสีดำ เทา และน้ำตาล ทำให้ห้องมีความเท่และมีเอกลักษณ์

4. สไตล์สแกนดิเนเวียน (Scandinavian)

เน้นความอบอุ่นและสบายตา ใช้สีอ่อน เช่น ขาว เบจ และไม้ธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน ชั้นวางของ รวมไปถึงโคมไฟ ของตกแต่งห้องทำงานจึงมีดีไซน์เรียบง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5. สไตล์วินเทจ (Vintage)

เน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่มีลวดลายและดีไซน์ย้อนยุค เช่น โต๊ะไม้เก่า โคมไฟโบราณ และของตกแต่งห้องทำงานที่มีเอกลักษณ์ ใช้สีที่เป็นธรรมชาติและโทนอบอุ่น เช่น ครีม น้ำตาล และทอง เพื่อสร้างบรรยากาศย้อนยุค

นอกจากเทคนิคทั้งหมดที่กล่าวมา การจัดห้องทำงานที่บ้านควรให้ความสำคัญกับความชอบและสไตล์ของเจ้าของห้องเป็นหลัก การจัดห้องทำงานในแบบที่เราชอบ จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างสบายใจ นอกจากนั้นควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน เก้าอี้ทำงานและโซฟาควรเลือกแบบที่นั่งแล้วสบายที่สุด โต๊ะทำงานต้องมีขนาดพอเหมาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราทำงานได้อย่างลื่นไหล หากใครกำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยสำหรับจัดตกแต่งห้องทำงานที่บ้าน Officemate ยินดีบริการให้คุณเลือกช้อปเฟอร์นิเจอร์ผ่านทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คลิกเลย!

ขอบคุณข้อมูลจาก

brandinside.asia/why-work-from-home-works/

บทความที่เกี่ยวข้อง

0 CommentsClose Comments

Leave a comment