เครื่องสำรองไฟ หรือ UPS (Uninterruptible Power Supply) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น มีบทบาทสำคัญทั้งในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือแม้แต่ในครัวเรือน เพราะเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้อง เช่น ไฟดับ ไฟตก ไฟกระชาก อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยไม่มีใครรู้ เครื่องสำรองไฟจึงควรมีติดไว้ในทุกองค์กรหรือสถานที่ที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น

ทำความรู้จักกับเครื่องสำรองไฟ มีกี่ประเภท

Standard UPS หรือ UPS ออฟไลน์

อุปกรณ์ UPS ที่ทำงานโดยการรับพลังงานจากระบบไฟฟ้าภายในบ้านโดยตรง ทำงานด้วยระบบแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นกระแสสลับ และเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับ เครื่องสำรองไฟนี้จะส่งไฟฟ้าไปยังอินเวอร์เตอร์ เพื่อแปลงกระแสไฟฟ้ากลับเป็นกระแสสลับที่ใช้ในบ้าน โดยอุปกรณ์ใดที่เชื่อมต่อกับ UPS ประเภทนี้จะสามารถทำงานได้ปกติในกรณีไฟฟ้าดับเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้แก้ปัญหาความผันผวนของกระแสไฟฟ้าแบบอื่น หรือใช้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งผลิตไฟฟ้า ข้อดี คือ มีราคาถูกกว่าแบบอื่น ๆ และยังติดตั้งง่าย

Line interactive UPS

เป็นอุปกรณ์ UPS ที่มีลักษณะคล้ายกับ UPS แบบออฟไลน์ สิ่งที่แตกต่างกัน นั่นคือ มีระบบที่ช่วยปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติเพิ่มเข้ามา เพื่อให้กระแสไฟฟ้าคงที่เมื่อกระแสไฟเกิดความผันผวน ส่งผลให้ไม่เกิดการกระชากของไฟเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟตก และหากกระแสไฟฟ้าเกิดการผันผวนในระดับที่ไม่มากนัก UPS ชนิดนี้จะไม่เสียพลังงาน ทำให้ยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น ในขณะที่ราคาก็ไม่สูงมาก จึงเป็นที่นิยมใช้กันค่อนข้างมาก

True online UPS

UPS ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งานสูงกว่าประเภทอื่น ๆ โดยทำงานแบบ 2 ฟังก์ชัน ทั้งทำหน้าที่เป็นเครื่องประจุและเครื่องแปลงไฟฟ้าในตัวเดียว เครื่องสำรองไฟประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้สำหรับใช้งานได้ตลอดเวลา และสามารถป้องกันเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องได้ทุกกรณี จึงมักใช้กับเครื่องมือแพทย์ หรือเครื่องมือที่ต้องการความเสถียรสูง ไม่ว่าจะเกิดไฟตกหรือไฟดับ UPS ประเภท True online  นี้ก็สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลือกเครื่องสำรองไฟอย่างไร ให้ปลอดภัย ใช้งานได้นาน

เครื่องสำรองไฟ_OfficeMate

การเลือกเครื่องสำรองไฟ หรือ UPS ไปใช้งาน มีปัจจัยหลายประการที่ต้องคำนึงถึง เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้ และการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

อุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่อ UPS

เป็นปัจจัยแรก ๆ ที่ต้องพิจารณา เพราะ UPS แต่ละประเภทสามารถรองรับการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้แตกต่างกัน หากเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญ มีขนาดใหญ่ หรือใช้กำลังไฟมาก เช่น เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์เครื่องจักรในโรงงาน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ฯลฯ ควรเลือกใช้ True online UPS หากอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นมีขนาดเล็ก หรือไม่จำเป็นต้องใช้ไฟมาก อย่างเช่นที่ใช้ในบ้าน หรือออฟฟิศขนาดไม่ใหญ่มาก อาจเลือกเป็น Line interactive UPS ก็เพียงพอ

ขนาดกำลังไฟฟ้า (VA) ของอุปกรณ์เชื่อมต่อ UPS

ผู้ใช้ควรมีการคำนวณขนาดกำลังไฟฟ้ารวมของอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับเครื่องสำรองไฟก่อนทำการซื้อ โดยขนาดกำลังไฟฟ้ารวมของอุปกรณ์ไม่ควรสูงกว่า 80% ของกำลังไฟฟ้าในเครื่อง UPS หรืออีกนัยหนึ่ง คือ UPS ควรมีขนาดที่ใหญ่กว่ากำลังไฟรวมของอุปกรณ์ เพื่อสำรองไว้ในกรณีใช้ไฟฟ้าเกินกำลัง (Overload)

วิธีการคำนวณขนาด UPS ให้เหมาะกับอุปกรณ์ไฟฟ้า

  1. คำนวณอัตราการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่ต้องการต่อพ่วงกับ UPS 1 ดูได้จาก หน่วยเป็น วัตต์ หรือ VA ที่แสดงท้ายเครื่องผ่านป้ายแสดงค่าพิกัดกำลัง (Nameplate)
  2. นำค่า VA ไปคูณค่า Volt และ Amps
  3. หากป้ายของอุปกรณ์แสดงพลังงานไฟฟ้าในหน่วยวัตต์ ให้แปลงเป็นค่า VA โดยนำค่าวัตต์ไปคูณ 1.4
  4. รวมค่า VA หรือ Watt ของอุปกรณ์ทั้งหมด แล้วนำค่านั้นไปหาร 0.8 เพื่อเลือก UPS ที่เหมาะสม

ตัวอย่าง: หากค่า VA ของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่ต้องต่อพ่วงเครื่อง UPS = 240 ให้นำ 240/0.8 = 300 จึงควรเลือกซื้อ UPS ที่มีกำลังไฟมากกว่า 300 วัตต์ขึ้นไป

คุณภาพของกระแสไฟฟ้า

ที่ตั้งของสถานที่ที่จะใช้เครื่อง UPS นั้นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ หากเป็นสถานที่ที่มีความผันผวนของกระแสไฟฟ้าค่อนข้างมาก ไฟฟ้าไม่เสถียร เช่น เขตชายแดน หรือเขตไฟฟ้าแรงสูง ควรเลือกใช้ UPS ประสิทธิภาพสูงอย่าง True online เพราะหากใช้ Standard UPS หรือ Line interactive UPS ที่ไม่สามารถควบคุมการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่ อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องสำรองไฟได้

เครื่องสำรองไฟ_ups_OfficeMate

ระยะเวลาในการใช้เครื่องสำรองไฟ

ผู้ใช้ควรพิจารณาระยะเวลาของสถานการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่ต้องเผชิญในแต่ละครั้ง หากพบว่าส่วนใหญ่มักต้องการใช้ไฟฟ้าสำรองจาก UPS เป็นเวลานาน ควรเลือกเครื่องสำรองไฟในรุ่นที่มาพร้อมแบตเตอรี่ชนิด High-Rate เนื่องจาก UPS แบบนี้จะสามารถสำรองไฟและจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้นานกว่าปกติถึง 20 % โดยเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการสำรองไฟยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ UPS ด้วย

มาตรฐานสากล การันตีความปลอดภัย

เพราะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไฟฟ้านั้นแตกต่างกับข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป หากผลิตขึ้นมาจากส่วนประกอบที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดการชำรุดเสียหายขณะใช้งาน และนำไปสู่อันตรายต่อผู้ใช้งานและผู้อยู่อาศัยในสถานที่นั้น ๆ ได้ การเลือกสินค้าที่ได้คุณภาพ ผ่านมาตรฐานระดับสากล และภายในประเทศ จะเป็นการช่วยการันตีถึงความปลอดภัยในการใช้งานได้อีกทาง

ตัวอย่างมาตรฐานที่เครื่องสำรองไฟ (UPS) ควรได้รับ

  • General and safety ตามมาตรฐาน EN/IEC 62040-1
  • Electromagnetic Compatibility ตามมาตรฐาน EN/IEC 62040-2
  • UPS Classification ตามมาตรฐาน EN/IEC 62040-3
  • มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
  • มาตรฐานอื่น ๆ ดังนี้ CE, CB, Reach, RoHS และ WEEE ฯลฯ  

การบริการหลังการขาย และเงื่อนไขการรับประกัน

ปัจจัยสุดท้ายที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม เริ่มตั้งแต่ความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ผู้ผลิต ดูได้จาก Customer review หรือ Feedback จากลูกค้าท่านอื่น ๆ รวมไปถึงการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของลูกค้าตามสิทธิผู้บริโภค เมื่ออุปกรณ์เกิดปัญหาใด ๆ ทางฝั่งผู้บริโภคก็ควรศึกษาเงื่อนไขการรับประกันอย่างละเอียด โดยส่วนใหญ่แล้ว เครื่อง UPS ตามท้องตลาดจะมีระยะเวลาการรับประกันเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ปี สิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคยังคงได้รับการคุ้มครองและดูแลจากผู้ผลิตแม้ทำการซื้อขายเสร็จสิ้น

เครื่องสำรองไฟ_ups_OfficeMate_1

UPS หรือเครื่องสำรองไฟ เป็นอุปกรณ์ที่หลายคนไม่ให้ความสำคัญมากนัก แต่กลับเป็นเครื่องมือที่หลาย ๆ องค์กรกลับขาดไม่ได้ เพราะเพียงแค่เหตุการณ์ฉุกเฉินเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ดังนั้น การเลือก UPS ที่ได้มาตรฐาน เหมาะสมกับอุปกรณ์และพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสียหายจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง: thaiware , bqbestquality , msu