การบัญชีคือแกนหลักของทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ นักบัญชีผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและระบบบัญชีขั้นพื้นฐาน จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสี่ยงทางการเงิน และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

บทความนี้จะเจาะลึก 6 หลักการพื้นฐานบัญชีที่นักบัญชีมืออาชีพต้องรู้ พร้อมแนะนำทักษะเสริมที่จะช่วยยกระดับคุณสู่ความเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ เรายังจะตอบคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย เช่น นักบัญชีทำหน้าที่อะไรบ้าง และ การทำงานบัญชีต้องมีความรู้ด้านใดบ้าง

Table of Contents

6 พื้นฐานบัญชีที่นักบัญชีมืออาชีพต้องเชี่ยวชาญ

พื้นฐานบัญชีที่ต้องเชี่ยวชาญ

ทํางานบัญชี ต้องรู้อะไรบ้าง? ปูทางสู่การเป็นนักบัญชีชั้นนำ! สรุป 6 พื้นฐานบัญชีที่มืออาชีพต้องแม่น เพื่อสร้างความก้าวหน้าในสายงาน และเข้าใจทุกมิติของการเงินองค์กร

1. เข้าใจและประยุกต์ใช้สมการบัญชี

พื้นฐานบัญชีที่สำคัญที่สุดของการทำบัญชีคือการทำความเข้าใจ สมการทางบัญชี (Accounting Equation) ซึ่งเป็นแกนหลักของการบันทึกบัญชีทั้งหมด สมการนี้เปรียบเสมือนเครื่องชั่งที่ต้องสมดุลกันอยู่เสมอ 

โดยกำหนดไว้ว่า: สินทรัพย์ (Assets) จะต้องเท่ากับ หนี้สิน (Liabilities) บวกด้วย ส่วนของเจ้าของ (Owner’s Equity) เสมอ ถ้าตัวเลขทั้งสองด้านของสมการไม่เท่ากัน แสดงว่าการบันทึกบัญชีนั้นผิดพลาด ทำให้ข้อมูลในงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ

ตัวอย่างเช่น:

  • เริ่มต้น: เจ้าของนำเงินสด 1,000 บาท มาเปิดกิจการ นั่นคือ สินทรัพย์ (เงินสด) เพิ่ม 1,000 บาท และ ส่วนของเจ้าของ (เงินลงทุน) ก็เพิ่ม 1,000 บาท (สมการ: 1,000 = 0 + 1,000)
  • กู้เงิน: ต่อมา กิจการกู้เงินจากธนาคาร 500 บาท ทำให้ สินทรัพย์ (เงินสด) เพิ่มขึ้นอีก 500 บาท ขณะที่ หนี้สิน (เงินกู้) ก็เพิ่มขึ้น 500 บาท (สมการจะกลายเป็น: 1,500 = 500 + 1,000)

การที่นักบัญชีสามารถเข้าใจและอธิบายสมการนี้ได้ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการบันทึกรายการต่าง ๆ (ที่เรียกกันว่า การเดบิต-เครดิต) จะถูกต้องตามหลักการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดทำงบการเงินที่เชื่อถือได้ต่อไปนั่นเอง

2. เชี่ยวชาญเกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis)

เมื่อพูดถึงการทำบัญชีของนิติบุคคล เกณฑ์คงค้างเป็นหัวใจสำคัญที่นักบัญชีต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะเกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้องตามหลักการพื้นฐานบัญชี

เกณฑ์เงินสด (Cash Basis)

  • บันทึกบัญชีเมื่อได้รับหรือจ่ายเงินจริง
  • เหมาะกับบุคคลธรรมดา
  • ทำได้ง่าย แต่ไม่สะท้อนความเป็นจริงทางธุรกิจ

เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis)

  • บันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะได้รับเงินหรือไม่
  • ใช้กับนิติบุคคลทุกประเภท
  • สะท้อนสถานะทางการเงินที่แท้จริง

ตัวอย่างเปรียบเทียบ:

กิจการขายสินค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568

เกณฑ์การบันทึกปีที่บันทึกขายสินค้าปีที่บันทึกรับเงิน
เกณฑ์เงินสดไม่บันทึก2568
เกณฑ์คงค้าง25662568

การเข้าใจเกณฑ์คงค้างจะช่วยให้การทำงานบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน และป้องกันการบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดงวดบัญชี

3. แยกความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่าย

การที่กิจการซื้อแก้วน้ำ 1 ใบ จะถือเป็นสินทรัพย์ หรือ ค่าใช้จ่าย นั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และระยะเวลาการใช้งานเป็นหลักตามหลักการพื้นฐานบัญชี

เกณฑ์การพิจารณา

เกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจคือ กิจการตั้งใจจะใช้สิ่งของนั้นเกินกว่า 1 ปีหรือไม่

  • ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปี: จะจัดเป็น ค่าใช้จ่ายของกิจการ (Expense) ซึ่งจะถูกบันทึกเป็นต้นทุนในงวดบัญชีนั้นทันที
  • ถ้าใช้ได้นานกว่า 1 ปี (เช่น 2 ปีขึ้นไป): จะจัดเป็น สินทรัพย์ของกิจการ (Asset) ซึ่งหมายความว่ากิจการจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ในระยะยาว และจะต้องค่อย ๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่าย (เรียกว่า ค่าเสื่อมราคา) ตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้น ๆ

 ตัวอย่างที่เข้าใจง่าย

  • ค่าใช้จ่าย (Expense): ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง สิ่งนี้จะถูกใช้หมดไปในทันทีหรือภายในระยะเวลาสั้น ๆ จึงถือเป็นค่าใช้จ่าย
  • สินทรัพย์ (Asset): ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นคุณภาพดีที่ตั้งใจจะใช้งานได้นานเกินกว่า 1 ปี สิ่งนี้จะถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์ และจะทยอยบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีที่ใช้งาน

4. เข้าใจเอกสารประกอบการทำบัญชีทุกประเภท

หากถามว่า ทำงานบัญชีต้องรู้อะไรบ้าง การเข้าใจเอกสารค้าขายถือเป็นพื้นฐานบัญชีที่ขาดไม่ได้ เพราะเอกสารแต่ละชนิดมีความหมายและผลกระทบต่อการบันทึกบัญชีที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเอกสารสำคัญในการทำบัญชี มีดังนี้:

1. ใบเสนอราคา (Quotation)

  • สถานะ: ยังไม่เกิดธุรกรรม
  • การบันทึก: ไม่ต้องบันทึกบัญชี

2. ใบแจ้งหนี้ (Invoice)

  • สถานะ: ขายสินค้า/บริการสำเร็จแล้ว
  • การบันทึก: บันทึกลูกหนี้การค้า + รับรู้รายได้

3. ใบกำกับภาษี (Tax Invoice)

  • สถานะ: มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • การบันทึก: บันทึกภาษีมูลค่าเพิ่มรอนำส่ง

4. ใบเสร็จรับเงิน (Receipt)

  • สถานะ: ได้รับชำระเงินแล้ว
  • การบันทึก: ล้างลูกหนี้การค้า + บันทึกเงินสด

5. เชี่ยวชาญภาษีธุรกิจพื้นฐาน

นักบัญชีทำอะไรบ้าง? นอกจากการบันทึกบัญชีแล้ว การจัดการภาษีถือเป็นหน้าที่สำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อมีรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระภาษีก็จะตามมาเสมอ

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล: เป็นภาษีที่คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท โดยปกติแล้วยิ่งมีกำไรมาก ธุรกิจก็ต้องเสียภาษีมากตามไปด้วย โดยมีอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 20% ต่อปี
  • ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย: คือการที่ธุรกิจมีหน้าที่หักภาษีไว้ล่วงหน้าจากรายได้หรือค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่าบริการ ก่อนจ่ายเงินให้คู่ค้า ถือเป็นการทยอยเก็บภาษีล่วงหน้าให้กับกรมสรรพากร โดยมีอัตราตั้งแต่ 1% ถึง 15%
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): เป็นภาษี 7% ที่กิจการจะเรียกเก็บเพิ่มจากราคาขายสินค้าหรือบริการแทนกรมสรรพากร เช่น หากสินค้าจริงราคา 100 บาท จะต้องขายที่ 107 บาท โดย 7 บาทที่เก็บมานี้ ธุรกิจต้องนำไปส่งมอบให้แก่กรมสรรพากร
  • อากรแสตมป์: เป็นภาษีที่ต้องชำระเมื่อมีการทำสัญญาบางประเภทตามที่กฎหมายกำหนด เช่น สัญญาเช่าบ้าน หรือสัญญากู้เงิน โดยมีอัตราการเก็บที่แตกต่างกันไปตามประเภทของสัญญา

6. รู้จักประเภทเงินได้ 8 ประเภท

หลักการบัญชีเบื้องต้นด้านภาษีกำหนดให้เงินได้แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีผลต่อการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่แตกต่างกัน

เงินได้ 8 ประเภทตามกฎหมาย:

  1. เงินได้ประเภทที่ 1 – เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าแรง
  2. เงินได้ประเภทที่ 2 – ค่านายหน้า ค่าฟรีแลนซ์
  3. เงินได้ประเภทที่ 3 – ค่าสิทธิ ค่าทรัพย์สินทางปัญญา
  4. เงินได้ประเภทที่ 4 – ดอกเบี้ย เงินปันผล
  5. เงินได้ประเภทที่ 5 – ค่าเช่าทรัพย์สิน
  6. เงินได้ประเภทที่ 6 – ค่าวิชาชีพ (บัญชี แพทย์ ทนายความ)
  7. เงินได้ประเภทที่ 7 – เงินจากการรับเหมา
  8. เงินได้ประเภทที่ 8 – เงินได้อื่นๆ ที่ไม่อยู่ในข้อ 1-7

ยกระดับทักษะของคุณ! อ่านต่อเพื่อเจาะลึก 6 ความรู้พื้นฐานสำคัญที่นักบัญชีมืออาชีพต้องมี ได้จากบทความของ PEAK 

3 ทักษะเสริมที่จำเป็น หลังเข้าใจพื้นฐานบัญชีอย่างถ่องแท้

พื้นฐานบัญชี ทักษะเสริม

นอกจากพื้นฐานบัญชี 6 ข้อแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะธุรกิจแต่ละประเภทมีบริบทที่แตกต่างกัน

1. จัดทำงบประมาณรายได้-ค่าใช้จ่าย

โดยปกติ นักบัญชีมักจะทำงานกับ ข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกรายการที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทำให้การจัดทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายใน อนาคต อาจไม่ใช่เรื่องถนัด 

เพราะต้องใช้ ทักษะการวิเคราะห์ และข้อมูลเพิ่มเติม เช่น อัตราเงินเฟ้อ หรือแนวโน้มยอดขาย การทำงบประมาณต้องอาศัย ความร่วมมือจากหลายแผนก 

เพื่อรวบรวมข้อมูลและกำหนดเป้าหมายให้กับฝ่ายต่าง ๆ ประโยชน์คือช่วยให้ทราบ สภาพคล่องทางการเงินที่แท้จริง วางแผนการใช้จ่ายและภาษีล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้เป็น ตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ของแต่ละแผนกได้ด้วย

2. เข้าใจบัญชีบริหาร (Management Accounting)

การบันทึกบัญชีที่เราคุ้นเคยและบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วเรียกว่า “บัญชีการเงิน” แต่ยังมีอีกแขนงหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “บัญชีบริหาร” ซึ่งคือการนำข้อมูลทางบัญชีมาใช้ประกอบการ ตัดสินใจในอนาคต 

เช่น การตัดสินใจว่าปีหน้าควร เช่าโรงงานต่อหรือสร้างเองดี หรือ ควรรรับจ้างผลิตสินค้าแบรนด์อื่น เพื่อใช้กำลังการผลิตที่เหลือหรือไม่ 

การตอบคำถามเหล่านี้ต้องใช้ข้อมูลในอดีต ผสมผสานกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) นักบัญชีที่มีทักษะนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอย่างมาก

3. วางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

การรู้เรื่องภาษีแบบพื้นฐาน คือการเข้าใจว่าภาษีประเภทต่าง ๆ คืออะไร คำนวณอย่างไร และต้องยื่นเอกสารตามกฎหมายเมื่อใด ซึ่งเป็นสิ่งที่กิจการต้องทำอยู่แล้ว 

แต่การวางแผนภาษี เป็นทักษะอีกระดับที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ทางกฎหมาย (ประมวลรัษฎากร) เพื่อช่วย ประหยัดภาษี ของกิจการอย่างถูกกฎหมาย เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่ การทำให้รายจ่ายเป็นที่ยอมรับทางภาษี (ไม่เป็นรายจ่ายต้องห้าม) 

หรือการจัดโครงสร้างกิจการเพื่อกระจายฐานภาษี ซึ่งเรื่องเหล่านี้มักต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่านักบัญชีทั่วไปที่เน้นงานพื้นฐาน

รวมคำถามยอดฮิต! FAQ พื้นฐานบัญชีที่คุณควรรู้

รวมคำถามยอดฮิต! FAQ พื้นฐานบัญชีที่คุณควรรู้ รวบรวมทุกคำตอบที่คุณสงสัย ตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงการบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องบัญชีได้อย่างง่ายดาย!

1. ใครควรเรียนรู้พื้นฐานบัญชี?

ผู้ประกอบการ, ผู้บริหาร, นักลงทุน, นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่ต้องการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลหรือของธุรกิจ ควรเรียนรู้พื้นฐานบัญชี

2. บัญชีพื้นฐานคืออะไร?

บัญชีพื้นฐานคือการบันทึก การจัดหมวดหมู่ และสรุปธุรกรรมทางการเงินของธุรกิจ เพื่อให้เห็นภาพรวมสถานะการเงินและผลการดำเนินงาน

3. เรียนบัญชีพื้นฐานยากไหม?

การเรียนบัญชีพื้นฐานไม่ยากเกินไป หากมีความเข้าใจในหลักการและสมการบัญชี และฝึกฝนการบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

พื้นฐานบัญชีสำคัญและตัวช่วยเสริมสำหรับนักบัญชี

นักบัญชีที่เก่งกาจต้องมี 6 พื้นฐานบัญชี ได้แก่ การเข้าใจสมการบัญชีและเกณฑ์คงค้าง การรู้จักแยกประเภทสินทรัพย์กับหนี้สิน การทำความเข้าใจเอกสารค้าขาย ภาษีพื้นฐาน และประเภทเงินได้ รวมถึงการเข้าใจลักษณะธุรกิจที่รับผิดชอบเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ การมี 3 ทักษะเสริม จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับนักบัญชี ได้แก่ การทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่าย การเข้าใจบัญชีบริหาร และการวางแผนภาษี ซึ่งนักบัญชีสามารถพัฒนาทักษะอื่น ๆ ที่ช่วยให้กิจการเติบโตได้อีกด้วย

🎉 สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า OfficeMate (OFM)!

OfficeMate ขอแนะนำ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการบัญชี การเงิน และภาษีแบบมืออาชีพ ด้วยเทคโนโลยี AI/API ที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น, เป็นอัตโนมัติ, ลดเอกสาร, ประหยัดเวลา, และได้ข้อมูลธุรกิจแบบ Real-Time 

ลูกค้า OFM รับสิทธิ์ทดลองใช้ฟรี 30 วัน พร้อมส่วนลดพิเศษ เมื่อสมัครแพ็กเกจรายปี ให้ PEAK เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ!

สนใจรับสิทธิ์พิเศษนี้? สามารถลงทะเบียนได้เลย: https://bit.ly/46bdf9B

—————————————————————————-
ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท

คลิก : https://www.peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

PEAK Call Center : 1485

LINE : @peakaccount

สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine

0 CommentsClose Comments

Leave a comment