โครงการช้อปดีมีคืน 2566 เริ่มแล้ว โดยเริ่มช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 66 – 15 กุมภาพันธ์ 66 นี้ เพื่อนำค่าใช้จ่ายในการช้อปสินค้าและบริการ ไปลดหย่อนภาษีในปี 2567 ไปดูกันว่ารอบนี้ เงื่อนไขของโครงการมีอะไรบ้าง ช้อปอย่างไรให้ได้เงินคืน และจะได้เงินคืนเท่าไหร่?

เงื่อนไขโครงการช้อปดีมีคืน 2566

1.ระยะเวลาของโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 – 15 กุมภาพันธ์ 2566 เท่านั้น

2.ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท โดยแบ่งเป็น 

2.1 ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ 30,000 บาทแรก ที่มีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบกระดาษหรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax)

2.2 ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการอีก 10,000 บาทที่เหลือ จะใช้หลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) เท่านั้น

3.ผู้ที่ได้สิทธิ์ในการลดหย่อน คือ บุคคลธรรมดาที่เสียภาษี ยกเว้นห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 

ช้อปยังไงให้ได้ลดหย่อนภาษี?

ช้อปสินค้าที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น

1.สินค้าและบริการจากร้านที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกต้อง และร้านค้าสามารถออกใบกำกับภาษีได้ เช่น สินค้าจากห้างสรรพสินค้า/ร้านสะดวกซื้อ, ค่าอาหารและเครื่องดื่ม, ค่าเครื่องแต่งกาย, เฟอร์นิเจอร์, ของใช้ในบ้าน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าไอที, สมาร์ทโฟน, สปา, คาราโอเกะ, อาบน้ำ/ตัดขนสัตว์เลี้ยง, ยารักษาโรค/ค่าอาหารเสริม, สินค้าจากร้านค้าออนไลน์, ค่าน้ำมันยานยนต์ เป็นต้น

2. สินค้า OTOP

3.หนังสือทั้งรูปแบบเล่มและอิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)

สินค้าที่ไม่ร่วมโครงการ ได้แก่ สุรา, เบียร์, ไวน์, ยาสูบ, บุหรี่, รถยนต์, จักรยานยนต์, เรือ, หนังสือพิมพ์, นิตยสารทั้งแบบเล่มและ e-Book, ค่าบริการนำเที่ยว (มัคคุเทศก์), ค่าที่พัก, ค่าน้ำประปา, ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต, ค่าประกัน เช่น ประกันชีวิต ประกันรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุ, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าผัก/ผลไม้สด, เนื้อสัตว์สด, อุปกรณ์ทางการแพทย์ 

ช้อปแล้วอย่าลืมขอหลักฐานใบกำกับภาษี

จะลดหย่อนภาษีได้ต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ที่ระบุข้อมูลของผู้ซื้อ ผู้ขาย ค่าใช้จ่าย และวันที่ใช้จ่ายให้ครบถ้วน  

ช้อปแล้วจะได้ลดหย่อนเท่าไหร่?

แม้จะบอกว่าลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท แต่จริงๆ แล้ว จำนวนในการลดหย่อนนั้น ขึ้นอยู่กับอัตราการเสียภาษีของแต่ละคนด้วย 

เงินได้สุทธิ 0-150,000 บาท ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี = ไม่ได้สิทธิในการลดหย่อนภาษี 

เงินได้สุทธิ 150,000-300,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 5% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 1,500 บาท

เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 10% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 3,000 บาท

เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 15% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 4,500 บาท

เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 20% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 6,000 บาท

เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 25% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 7,500 บาท

เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษีเงินได้ 30% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 9,000 บาท

เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป อัตราภาษีเงินได้ 35% = มีสิทธิได้เงินคืนสูงสุด 10,500 บาท หรือมากกว่า

เช่น

หากมีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 400,000 บาท อัตราการเสียภาษี 10% และใช้จ่ายเต็มจำนวน 40,000 บาท ก็จะมีสิทธิได้เงินคืนหรือลดหย่อนภาษีได้ 3,000 บาท นั่นเอง

ว่าแล้วก็ไปช้อปกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วขอใบกำกับภาษีไปรอลดหย่อนกันได้เลย! แอบบอกว่าที่เว็บไซต์ออฟฟิศเมทของเรา สินค้าทุกชิ้นสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้** และเราออกใบกำกับภาษี e-Tax ส่งตรงถึงอีเมลของคุณอย่างรวดเร็ว เล็งสินค้าชิ้นไหนอยู่ โอกาสช้อปมาถึงแล้ว! คลิกเลย www.ofm.co.th

**ลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของมาตรการช้อปดีมีคืนที่รัฐกำหนด