ภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัย หรือน้ำท่วม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ปัญหาที่ตามมาไม่เพียงแค่ความเสียหายต่อบ้านเรือน และทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงความเสียหายต่อ รถยนต์ ของเราด้วยเช่นกัน ในกรณีขับรถลุยน้ำท่วมจนทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
ทำไมน้ำท่วมถึงอันตรายต่อรถยนต์?
1. ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
น้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี เมื่อน้ำเข้าไปในห้องเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ได้หากมีการสะสมความร้อน
2. เครื่องยนต์เสียหาย
น้ำที่เข้าไปในเครื่องยนต์จะทำให้เกิดสนิมในระบบต่างๆ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ หรืออาจทำให้เครื่องยนต์พังเสียหายได้ทั้งหมด
3. ระบบเบรกขัดข้อง
เมื่อน้ำเข้าไปในระบบเบรก จะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ส่งผลให้การขับขี่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
4. โครงสร้างรถเสียหาย
การขับรถลุยน้ำที่ไหลเชี่ยวแรง อาจทำให้โครงสร้างของรถเสียหายได้ เช่น ประตูเปิด-ปิดไม่ได้ หรือชิ้นส่วนตัวถังเกิดสนิม
นอกจากนี้ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อรถโดนน้ำท่วม อาจทำให้เครื่องยนต์พัง เพราะขณะขับรถลุยน้ำท่วม น้ำอาจไหลเข้าห้องเครื่องได้ ทำให้ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงระบบไฟฟ้าเสียหาย อาจต้องซ่อมแซมทั้งระบบ ซึ่งใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายตามมา ทั้งนี้ ยังเสี่ยงตัวถังเป็นสนิม อาจต้องซ่อมแซม และทำสีใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่แพ้กันเลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้ว ยังมีใครกล้าเสี่ยงขับรถลุยน้ำอีกหรือไม่?
น้ำท่วมระดับไหนถึงอันตรายต่อรถยนต์?
- น้ำท่วมระดับครึ่งล้อ: ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะน้ำอาจเข้าไปในท่อไอเสียได้ ทำให้เครื่องยนต์ดับกลางคัน
- น้ำท่วมระดับล้อ: ไม่ควรขับลุยน้ำในระดับนี้ เพราะน้ำอาจเข้าไปในห้องเครื่องยนต์และทำลายระบบไฟฟ้าได้โดยตรง
- น้ำท่วมสูงกว่าล้อ: อันตรายมาก ไม่ควรขับรถลุย เพราะนอกจากรถจะเสียหายแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือทำให้คนขับตกอยู่ในอันตรายได้
ขอบคุณภาพจาก สำนักงานสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก
วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาเมื่อรถโดนน้ำท่วม
1. ติดตามข่าวสาร
ก่อนออกเดินทาง ควรตรวจสอบสภาพอากาศและเส้นทางที่เราจะผ่านว่ามีพื้นที่ใดบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิด น้ำท่วมฉับพลัน โดยสามารถติดตามข่าวสารได้จากสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ
2. เตรียมตัวให้พร้อม
หากจำเป็นต้องเดินทางในช่วงที่มีฝนตกหนัก ควรเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น รองเท้าบู๊ต เสื้อกันฝน และไฟฉายไว้ในรถยนต์เสมอ
3. หลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำ
หากพบเห็นน้ำท่วม ควรหลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำในทุกกรณี และหาเส้นทางอื่นที่ปลอดภัยกว่า เพื่อป้องกันความเสียหายต่อรถยนต์และตัวคุณเอง
4. หากรถโดนน้ำท่วม
ควรติดต่อเบอร์ฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือทันที และไม่ควรพยายามสตาร์ทรถเอง เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายมากยิ่งขึ้น
เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติด้วยตัวเอง
- เตรียมชุดปฐมพยาบาล: เพื่อใช้ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
- เตรียมอาหารและน้ำดื่มสำรอง: เพื่อใช้ในระหว่างที่เกิดน้ำท่วม
- เตรียมเอกสารสำคัญ: เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารสำคัญอื่นๆ ไว้ในที่ปลอดภัยเพื่อพร้อมรับมือ
- เซฟเบอร์ฉุกเฉิน: เพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ปภ. โทร. 1784
- บริการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669
- ตำรวจทางหลวง สอบถามเส้นทางน้ำท่วม ขอความช่วยเหลือ โทร. 1193
- ศูนย์ความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
- ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ICT) สายด่วนข้อมูลภัยพิบัติ โทร. 192
- กรมอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลสภาพอากาศ โทร. 1182
- กรมชลประทาน ข้อมูลสถานการณ์น้ำ-เขื่อน โทร. 1460
- สภากาชาดไทย รับแจ้ง-เตือนภัย ช่วยเหลือสาธารณภัย โทร. 1664
- ร่วมด้วยช่วยกัน ประสานความช่วยเหลือ โทร. 1677
ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยน้ำท่วม ที่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความสะอาดของแหล่งน้ำ และการป้องกันการบุกรุกป่า
สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สามารถร่วมบริจาค อุปกรณ์ทำความสะอาด และ ของใช้จำเป็น ได้ คลิกที่นี่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภ้ย
บทความที่เกี่ยวข้อง