การตัดสินใจเลือกระหว่าง โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะบุคคลของคุณ เพราะแม้จะมีมาตรฐานการรักษาที่สูงทั้งคู่ 

แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านค่าใช้จ่ายและความรวดเร็วในการบริการ ซึ่งจะตอบคำถามได้ว่าสำหรับความต้องการของคุณแล้ว โรงพยาบาลรัฐกับเอกชนอันไหนดีกว่า กัน

Key Takeaways

  • ค่าใช้จ่ายและสิทธิ์การรักษา: โรงพยาบาลรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายต่ำมาก เนื่องจากรองรับสิทธิ์การรักษาของรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น บัตรทอง ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการ ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก
  • ความรวดเร็วในการบริการ: โรงพยาบาลเอกชนให้บริการที่รวดเร็วทันใจ ไม่ต้องรอคิวนาน เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการคิวที่มีประสิทธิภาพสูง ต่างจากโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีผู้ป่วยหนาแน่น ทำให้ต้องใช้เวลารอคอยยาวนาน
  • ความเชี่ยวชาญและโรคซับซ้อน: โรงพยาบาลรัฐบาลขนาดใหญ่หรือโรงเรียนแพทย์ มักเป็นศูนย์รวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลากหลาย และมีความพร้อมในการรักษาโรคที่ซับซ้อนหรือหายากได้ครอบคลุมกว่า
  • ความสะดวกสบายและบริการ: โรงพยาบาลเอกชนเน้นความสะดวกสบายและบริการระดับพรีเมียม มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา ความยืดหยุ่นในการเลือกแพทย์และการนัดหมาย รวมถึงมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่ามาก
  • ทางเลือกพิเศษในโรงพยาบาลรัฐ: โรงพยาบาลรัฐบาลบางแห่งมี “คลินิกพิเศษ” หรือ “คลินิกนอกเวลาราชการ” ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วขึ้นใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเอกชน แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย

Table of Contents

เจาะลึกโรงพยาบาลรัฐบาล   

มาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนว่า โรงพยาบาลรัฐ คือ อะไร และมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณใช้สิทธิ์และวางแผนการรักษาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เนื่องจากเป็นเสาหลักด้านสาธารณสุขของประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเท่าเทียม 

1. ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

มักมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหลากหลายสาขา และเป็นแหล่งฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้มีความพร้อมในการรักษาโรคซับซ้อนและโรคหายาก

2. ค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้

เป็นจุดเด่นที่สุด เนื่องจากรองรับสิทธิ์การรักษาของรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น บัตรทอง ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ต่ำมาก

3. รองรับจำนวนผู้ป่วยมหาศาล

มีบทบาทหลักในการให้บริการประชาชนจำนวนมาก ทำให้มีปริมาณผู้ป่วยต่อวันสูงมาก อาจต้องใช้เวลารอคอยนานในการตรวจหรือเข้ารับบริการ

4. เครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์

มีการลงทุนในเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับงานวิจัยและเป็นโรงพยาบาลหลักในการรักษาโรคที่ซับซ้อนในภูมิภาค

5. เน้นการดูแลแบบองค์รวม

ให้บริการตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูสภาพ ครอบคลุมทุกมิติสุขภาพของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ

ทำความรู้จักคลีนิคพิเศษ โรงพยาบาลรัฐบาล

ทำความรู้จักคลีนิคพิเศษโรงพยาบาลรัฐ

หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า โรงพยาบาลรัฐบาลมีข้อดีอะไรบ้าง นอกจากการรักษาตามสิทธิ์พื้นฐาน นั่นคือการมี “คลินิกพิเศษ” หรือ “คลินิกนอกเวลาราชการ” ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยลดช่องว่างระหว่าง โรงพยาบาลรัฐกับเอกชนได้อย่างดี 

โดยคลินิกพิเศษนี้จะให้บริการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในราคาที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย แต่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวนานเหมือนคลินิกปกติ และได้รับบริการที่สะดวกสบายใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเอกชน

ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐบาล

แม้จะมีภาพจำเรื่องการรอคอยที่ยาวนาน แต่ ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐบาล นั้นมีหลายด้านที่ทำให้เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน ในด้านคุณภาพการรักษาและค่าใช้จ่าย

  • ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดและสิทธิ์การรักษาครอบคลุม: ผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิการรักษาพื้นฐานทุกประเภท เช่น ประกันสังคม บัตรทอง หรือสวัสดิการข้าราชการได้ ทำให้ค่ารักษาพยาบาลแทบจะฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก
  • ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ระดับสูง: เป็นแหล่งรวมของแพทย์เฉพาะทางและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงจากการรักษาผู้ป่วยหลากหลายและซับซ้อนจำนวนมาก รวมถึงเป็นโรงเรียนแพทย์
  • ความพร้อมของอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์: โดยทั่วไปโรงพยาบาลรัฐบาลขนาดใหญ่หรือโรงเรียนแพทย์มักมีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและครบถ้วน เพื่อรองรับการรักษาโรคที่ซับซ้อน
  • การบริการด้านสุขภาพที่ครบวงจร: ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การรักษาโรคทั่วไป โรคเฉพาะทาง การผ่าตัด การฟื้นฟู ไปจนถึงการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพในทุกช่วงวัย
  • เป็นหลักประกันความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ: มีบทบาทสำคัญในการเป็นกลไกหลักของรัฐบาลในการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกคน ทำให้เข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึง

ข้อเสียของโรงพยาบาลรัฐบาล

แม้จะมี ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐบาล หลายด้าน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะเรื่อง โรงพยาบาลรัฐบาลมีข้อเสียอะไรบ้าง ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้รับบริการ

  • ระยะเวลาการรอคอยที่ยาวนาน: เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ใช้สิทธิ์การรักษาของรัฐ ทำให้ผู้ป่วยต้องรอคิวนานในการตรวจ การทำหัตถการ หรือแม้กระทั่งการรับยา
  • ความแออัดและขาดความเป็นส่วนตัว: การมีผู้ป่วยจำนวนมากส่งผลให้บรรยากาศค่อนข้างแออัด ทั้งในส่วนของห้องตรวจ พื้นที่รอคอย หรือห้องพักผู้ป่วยรวม ซึ่งอาจลดความเป็นส่วนตัวลง
  • การบริการที่อาจไม่ยืดหยุ่น: ด้วยระเบียบและขั้นตอนที่เข้มงวดของระบบราชการ การบริการอาจไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน และอาจต้องทำตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
  • เวลาทำการที่จำกัดของคลินิกเฉพาะทาง: คลินิกเฉพาะทางบางแห่งหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน อาจมีเวลาตรวจจำกัดอยู่แค่ช่วงเวลาราชการ ทำให้ผู้ที่ทำงานประจำไม่สะดวกในการเข้าถึง
  • ขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรบางส่วน: ในช่วงเวลาที่มีผู้ป่วยล้นหลาม อาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักเกินไป และทรัพยากรบางอย่าง เช่น เตียงผู้ป่วย อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการอย่างทันท่วงที

โรงพยาบาลเอกชน ตัวเลือกสถานพยาบาลที่สำคัญ

เมื่อกล่าวถึงโรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน โดยเมื่อกล่าวถึงสถานพยาบาลที่เน้นความสะดวกสบายและรวดเร็ว โรงพยาบาลเอกชน คือ ทางเลือกสำคัญของผู้ที่มีกำลังทรัพย์ โดยคำถามที่ว่า โรงพยาบาลรัฐกับเอกชน แตกต่างกันอย่างไร นั้นเห็นได้ชัดจากบริการที่เน้นความรวดเร็ว หรูหรา และความเป็นส่วนตัว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่

  • ความรวดเร็วในการบริการ: ใช้เวลารอคอยน้อยมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการนัดหมาย การตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงการรับยา ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายและประหยัดเวลา
  • สิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือกว่า: มีห้องพักผู้ป่วยเดี่ยวที่หรูหรา สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเทียบเท่าโรงแรม และมีการบริการที่เอาใจใส่ตลอด 24 ชั่วโมง
  • ความยืดหยุ่นในการเลือกแพทย์: ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องการได้อย่างอิสระ รวมถึงการนัดหมายที่นอกเหนือจากเวลาราชการปกติได้ง่ายกว่า
  • ความเป็นส่วนตัวสูง: มีการจัดการพื้นที่และคิวอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้ป่วยได้รับความเป็นส่วนตัวสูงในการเข้ารับการปรึกษาและการรักษา
  • การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ: มักนำเข้าและใช้เครื่องมือวินิจฉัยและเทคโนโลยีการรักษาใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด

ข้อดีของโรงพยาบาลเอกชนที่ควรรู้

เมื่อเปรียบเทียบ โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน สิ่งที่ทำให้หลายคนเลือกใช้บริการเอกชนคือ ข้อดีของโรงพยาบาลเอกชน ด้านความสะดวกสบาย และบริการที่เหนือกว่า ซึ่งคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

  • ความรวดเร็วและลดเวลารอคอย: ระบบบริหารจัดการคิวมีประสิทธิภาพสูงมาก ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการทันที ไม่ต้องเสียเวลารอคอยนานในการตรวจ การวินิจฉัย หรือการทำหัตถการ
  • บริการระดับพรีเมียมและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน: มอบประสบการณ์การรักษาที่สะดวกสบายเหมือนโรงแรม มีห้องพักส่วนตัวที่หรูหรา และบุคลากรให้การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
  • ความยืดหยุ่นในการนัดหมายและการเลือกแพทย์: ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการได้ รวมถึงสามารถนัดหมายในช่วงเย็นหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ง่าย
  • การใช้ยาและอุปกรณ์ที่หลากหลาย: บางครั้งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่าง ยาโรงพยาบาลรัฐกับเอกชน โดยโรงพยาบาลเอกชนอาจมีตัวเลือกยาต้นแบบ (Original Drug) หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ใหม่ ๆ ให้เลือกใช้มากกว่า
  • ความเป็นส่วนตัวและความคล่องตัว: ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยสูง และกระบวนการทุกอย่างมีความคล่องตัวสูงกว่า ทำให้การรักษาดำเนินไปอย่างราบรื่น

ข้อเสียของโรงพยาบาลเอกชนที่ต้องนึกถึงก่อนใช้บริการ

แม้จะได้รับบริการที่รวดเร็วและสะดวกสบาย แต่ ข้อเสียของโรงพยาบาลเอกชน 5 ข้อ หลัก ๆ ก็คือค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนลังเลใจ โดยข้อเสียเหล่านี้จำเป็นต้องนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ

  • ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก: เป็นข้อเสียที่สำคัญที่สุด ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าห้องพัก และค่ายาทั้งหมดมีราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลหลายเท่าตัว ทำให้ต้องมีการวางแผนการเงินหรือทำประกันสุขภาพอย่างรัดกุม
  • การจำกัดการใช้สิทธิ์ของรัฐ: โรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มักไม่รับสิทธิ์การรักษาของรัฐบาลเต็มรูปแบบ (เช่น บัตรทอง, ประกันสังคม) หรือรับแค่บางกรณี ทำให้ผู้ใช้สิทธิ์ต้องจ่ายเงินเองทั้งหมด
  • ความเสี่ยงในการรับบริการเกินความจำเป็น: เนื่องจากเป็นธุรกิจ อาจมีการเสนอแพ็กเกจการตรวจหรือการรักษาเพิ่มเติมที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มรายได้ของโรงพยาบาล
  • แพทย์เฉพาะทางบางสาขาอาจมีจำกัด: แม้จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับโรคที่ซับซ้อนหรือหายากมาก ๆ โรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กอาจไม่พร้อมเท่าโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่หรือโรงเรียนแพทย์ และอาจต้องส่งต่อผู้ป่วยในที่สุด
  • ความแตกต่างของมาตรฐานระหว่างโรงพยาบาล: คุณภาพและค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนมีความหลากหลายสูง ผู้ใช้บริการจึงควรศึกษาและเปรียบเทียบมาตรฐานของแต่ละแห่งก่อนใช้บริการ

ความแตกต่างระหว่างโรงพยาบาลรัฐบาลกับโรงพยาบาลเอกชน 

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า โรงพยาบาลรัฐ กับเอกชน แตกต่างกันอย่างไร นี่คือสรุปความแตกต่างหลัก ๆ 

ประเด็นการเปรียบเทียบโรงพยาบาลรัฐบาลโรงพยาบาลเอกชน
ค่าใช้จ่ายต่ำ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ค่ารักษาพยาบาลถูกกว่ามากสูง ดำเนินการในรูปแบบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร ค่ารักษาพยาบาลจึงสูงกว่ามาก
สิทธิการรักษารองรับสิทธิพื้นฐานของคนไทย เช่น บัตรทอง (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ), ประกันสังคม, สวัสดิการข้าราชการส่วนใหญ่ต้องใช้สิทธิประกันสุขภาพเอกชน หรือชำระเงินเอง
ความรวดเร็วในการบริการค่อนข้างช้า มักมีผู้ป่วยหนาแน่นและต้องรอคิวนาน ทั้งการตรวจ การรอพบแพทย์ และการรับยารวดเร็ว มีการจัดการที่คล่องตัว มีจำนวนผู้ป่วยต่อคน/รอบที่น้อยกว่า ทำให้รอน้อยกว่ามาก
สิ่งอำนวยความสะดวกอาจมีความสะดวกสบายที่จำกัดกว่า อาคารหรือห้องพักบางส่วนอาจดูเก่าดีเยี่ยม มีความสะดวกสบายสูง สถานที่โอ่โถง สะอาด ทันสมัย บางแห่งเหมือนโรงแรม
การเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงและหลากหลายสาขา (โดยเฉพาะโรคซับซ้อน) แต่การรอคิวเพื่อพบแพทย์เฉพาะทางอาจนานเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้รวดเร็ว (แพทย์บางท่านทำงานทั้งสองที่)
อุปกรณ์การแพทย์มีเครื่องมือที่พร้อมและทันสมัย โดยเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่และโรงเรียนแพทย์มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย (มักมีการอัปเดตและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ)
การบริการ/ความใส่ใจอาจไม่ได้รับความเอาใจใส่เป็นรายบุคคลมากนัก เนื่องจากต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมากมีการบริการที่เป็นเลิศ เน้นความพึงพอใจและความใส่ใจต่อผู้ป่วย
ความมั่นคงของบุคลากรมีความมั่นคงสูงสำหรับบุคลากรที่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ (เช่น มีบำนาญ)ค่าตอบแทนสูงกว่าในระยะแรก แต่ความมั่นคงไม่ได้อยู่ในรูปแบบข้าราชการ

10 ไอเท็มคุณภาพที่ควรมีทั้งในโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน 

ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล Vs โรงพยาบาลเอกชน สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาพยาบาลคือคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย ดังนั้นจึงมี 10 อุปกรณ์เพื่อสุขภาพที่ทุกสถานพยาบาลจำเป็นต้องมีและต้องได้มาตรฐาน เพื่อให้การดูแลรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

1.รถเข็นวีลแชร์ ALLWELL Wheelchair แบบล้อเล็ก

รถเข็นวีลแชร์ ALLWELL Wheelchair แบบล้อเล็ก

รถเข็นวีลแชร์ล้อเล็ก ALLWELL เป็นอุปกรณ์การแพทย์ที่สำคัญและจำเป็นไม่แพ้กับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ใน โรงพยาบาลรัฐบาล Vs โรงพยาบาลเอกชน โดยถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาเพียง 10.5 กก. สามารถพับเก็บได้ง่าย เพื่อการเคลื่อนย้ายที่สะดวกและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการดูแลผู้ป่วยทั้งในบ้านและในสถานพยาบาล

จุดเด่นสินค้า

  • น้ำหนักเบาและพับเก็บได้ง่าย: มีน้ำหนักเพียง 10.5 กก. และพับเก็บได้กะทัดรัด (กว้าง 28 ซม. เมื่อพับ) สามารถนำใส่ท้ายรถเพื่อการเดินทางได้สะดวก
  • วัสดุระบายอากาศได้ดี: ใช้ผ้าแบบ Mesh Cloth ตรงกลางและไนลอนด้านข้าง ช่วยระบายอากาศได้ดี ทำให้ผู้นั่งไม่อับชื้น แม้ต้องนั่งเป็นเวลานาน
  • ความปลอดภัยสูง: มีเข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) และมีระบบเบรกมือที่สามารถล็อกล้อเพื่อหยุดรถไม่ให้เคลื่อนที่ได้อย่างมั่นคง
  • รับน้ำหนักได้ดี: โครงสร้างแข็งแรงทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักของผู้ใช้งานได้สูงสุดถึง 100 กก.

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้าย: น้ำหนักเบามากและพับเก็บได้ ทำให้สะดวกในการพกพาไปนอกสถานที่ล้อเล็กสำหรับการเข็นโดยผู้ช่วย: ด้วยขนาดล้อหลังที่ 12 นิ้ว ผู้ใช้งานไม่สามารถเข็นเองได้สะดวกเท่ารุ่นล้อใหญ่
ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น: ผ้าที่นั่งออกแบบให้ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศร้อนความทนทานต่อการลุยพื้นผิวขรุขระ: ล้อขนาดเล็กอาจไม่เหมาะกับการใช้งานบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ หรือขรุขระมากนัก
เพิ่มความปลอดภัย: มีเบรกมือและเข็มขัดนิรภัย ช่วยป้องกันอุบัติเหตุและการลื่นตกจากรถเข็นรองรับน้ำหนักสูงสุดที่ 100 กก.: อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม
พับเก็บง่ายและประหยัดพื้นที่: ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อย เหมาะสำหรับบ้านหรือรถที่มีพื้นที่จำกัดไม่มีพนักพิงศีรษะ: อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถทรงตัวได้ดี หรือต้องการพักผ่อนศีรษะขณะนั่ง

2.DEVILBISS รถเข็นช่วยพยุงเดิน 4 ล้อ รุ่น CRISTALLO น้ำหนัก 130 กก.

DEVILBISS รถเข็นช่วยพยุงเดิน 4 ล้อ รุ่น CRISTALLO น้ำหนัก 130 กก.

รถเข็นช่วยพยุงเดิน 4 ล้อ รุ่น Cristallo จาก DeVilbiss เป็นอุปกรณ์ช่วยเดินที่มีคุณภาพสูง รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 130 กิโลกรัม โครงสร้างทำจากโลหะเคลือบกันสนิมสีเงิน มั่นใจในความทนทานและปลอดภัยในการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการฝึกเดิน ด้วยฟังก์ชันเบรกที่มือจับและการปรับความสูงที่หลากหลาย

จุดเด่นสินค้า

  • โครงสร้างแข็งแรง: วัสดุทำจากโลหะเคลือบกันสนิมอย่างดี สีเงิน รองรับน้ำหนักได้มากถึง 130 กก.
  • ฟังก์ชันครบครัน: มาพร้อมเบรกที่มือจับ (Hand Brakes) เพื่อความปลอดภัยในการหยุดรถ และมีที่นั่งกว้างสำหรับการพักผ่อน
  • ปรับระดับได้: สามารถปรับความสูงของมือจับได้ตั้งแต่ 79 – 100 ซม. และปรับความสูงของที่นั่งได้จาก 45 ถึง 57 ซม. ให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน
  • พับเก็บง่าย: สามารถพับเก็บได้ง่ายและมีขนาดเล็กเมื่อพับเก็บ (กว้าง 61 ซม. x ยาว 26 ซม. x สูง 86 ซม.) สะดวกต่อการจัดเก็บและพกพา
  • มีตะกร้า: มาพร้อมตะกร้าสำหรับใส่สิ่งของ ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
รับน้ำหนักได้สูงถึง 130 กก. โครงสร้างมั่นคงและแข็งแรงเป็นพิเศษน้ำหนักรถเข็นรวม อยู่ที่ 9.8 กก. ซึ่งอาจหนักกว่าวอล์คเกอร์แบบไม่มีล้อทั่วไป
มีที่นั่งและเบรกมือ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานและพักผ่อนระหว่างเดินล้อขนาดเล็ก อาจไม่เหมาะกับการใช้งานบนพื้นผิวขรุขระหรือมีสิ่งกีดขวางมากนัก
ปรับระดับความสูงได้หลากหลาย ทั้งมือจับและที่นั่ง เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานทุกช่วงความสูงต้องตรวจสอบเบรกสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
พับเก็บได้ง่าย ประหยัดพื้นที่จัดเก็บและสะดวกในการนำขึ้นรถการทำความสะอาด ควรจัดเก็บในที่แห้งเพื่อป้องกันการสัมผัสน้ำโดยตรง แม้จะเคลือบสารกันสนิมแล้ว

3.YAMADA ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS03 โครงอลูมิเนียมน้ำหนักเบา

YAMADA ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS03 โครงอลูมิเนียมน้ำหนักเบา

ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS03 จาก YAMADA เป็นอุปกรณ์ช่วยพยุงเดินแบบ Walker ที่ออกแบบมาให้มี โครงสร้างอลูมิเนียมน้ำหนักเบา แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการพยุงตัว หรือผู้ที่มีปัญหาในการเดินชั่วคราว มาพร้อมกับด้ามจับโฟมที่นุ่มสบายมือ และจุกพลาสติกกันลื่น ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจในทุกย่างก้าว

จุดเด่นสินค้า

  • วัสดุน้ำหนักเบา: โครงสร้างทำจากอลูมิเนียมคุณภาพสูง ทำให้ Walker มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงความแข็งแรงทนทาน
  • ด้ามจับสบายมือ: ด้ามจับทำจากโฟม นุ่มสบาย ช่วยลดแรงกดและเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
  • ปลอดภัยสูงสุด: มีจุกพลาสติกกันลื่นที่ปลายขา ช่วยเพิ่มการยึดเกาะกับพื้นผิว ป้องกันการลื่นล้ม
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการความมั่นคงในการเดิน หรือผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูการเดินชั่วคราว

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
น้ำหนักเบา ทำให้เคลื่อนย้ายและยกได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงมากไม่สามารถพับได้ อาจไม่สะดวกในการจัดเก็บหรือพกพาไปนอกสถานที่เมื่อเทียบกับรุ่นที่พับได้
แข็งแรงทนทาน โครงสร้างอลูมิเนียมคุณภาพดี มั่นคง ปลอดภัยต่อการพยุงตัวไม่มีล้อ การเคลื่อนที่ต้องใช้การยกและวาง อาจไม่เหมาะกับผู้ที่อ่อนแรงมาก
ด้ามจับโฟมนุ่ม ช่วยให้จับได้สบายและกระชับมือ ลดอาการปวดเมื่อยความสูงไม่ระบุว่าปรับได้หรือไม่ (ข้อมูลสินค้าไม่ได้ระบุชัดเจนว่าสามารถปรับความสูงได้)
มีจุกพลาสติกกันลื่น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพในการใช้งานบนพื้นผิวเรียบต้องหมั่นตรวจสอบสกรู และจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นประจำเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

4.YAMADA ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS05 โครงอลูมิเนียมแข็งแรงทนทาน

YAMADA ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS05 โครงอลูมิเนียมแข็งแรงทนทาน

ไม้เท้าช่วยเดิน รุ่น WS05 จาก YAMADA เป็นอุปกรณ์ช่วยพยุงเดินที่มาพร้อมฟังก์ชันพิเศษคือ ที่รองนั่ง โครงสร้างทำจากอะลูมิเนียม (Aluminum) ที่แข็งแรงทนทานแต่น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาในการเดินชั่วคราว ที่ต้องการพักผ่อนระหว่างทาง

จุดเด่นสินค้า

  • มีที่รองนั่งในตัว: ที่รองนั่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 21 ซม. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพักนั่งได้ทุกเมื่อที่รู้สึกเหนื่อย
  • น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง: โครงสร้างทำจากอลูมิเนียมคุณภาพสูง ทำให้พกพาสะดวก ไม่ต้องออกแรงมากในการยก
  • ด้ามจับนุ่มสบาย: ด้ามจับทำจากโฟม (Foam) นุ่มสบายมือ ลดอาการเมื่อยล้าขณะใช้งาน
  • ปลอดภัยในการใช้งาน: มีจุกพลาสติกป้องกันการลื่น (Anti-slip plastic tips) ที่ปลายขา เพิ่มความมั่นคงในการก้าวเดิน

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
มีที่นั่งพัก (Seat) ในตัว เพิ่มความสะดวกให้ผู้สูงอายุที่ต้องเดินเป็นระยะทางไกลไม่สามารถพับได้ ทำให้การจัดเก็บหรือพกพาไปนอกสถานที่อาจไม่สะดวกเท่ารุ่นพับได้
โครงสร้างอลูมิเนียม แข็งแรงทนทานแต่น้ำหนักเบา ทำให้ใช้งานง่ายเหมาะกับพื้นที่เรียบและแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในบริเวณที่เปียกหรือลาดชันมากเกินไป
ด้ามจับโฟมนุ่ม ช่วยลดแรงกดที่มือและข้อมือขณะใช้งานควรตรวจสอบจุกกันลื่น อย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย เพราะอาจเสื่อมสภาพตามการใช้งาน
จุกป้องกันการลื่น เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงในการพยุงตัวความสูงของไม้เท้า ข้อมูลสินค้าไม่ได้ระบุชัดเจนว่าสามารถปรับระดับได้หรือไม่ (ผู้ใช้อาจต้องตรวจสอบความเหมาะสมกับความสูงของตนเอง)

5.YAMADA เก้าอี้อาบน้ำแบบพนักพิง รุ่น SH03 ปรับสูงได้ 72-82 ซม.

YAMADA เก้าอี้อาบน้ำแบบพนักพิง รุ่น SH03 ปรับสูงได้ 72-82 ซม.

เก้าอี้อาบน้ำ รุ่น SH03 จาก YAMADA ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยในการอาบน้ำสำหรับ ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถยืนอาบน้ำได้ เก้าอี้รุ่นนี้มีพนักพิงรองรับด้านหลัง พร้อมคุณสมบัติปรับความสูงได้ และวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น

จุดเด่นสินค้า

  • มีพนักพิง: มีพนักพิงที่โค้งเข้ารูป ช่วยให้ผู้ใช้นั่งได้อย่างสบายและมั่นคงยิ่งขึ้น
  • ปรับความสูงได้ 5 ระดับ: สามารถปรับระดับความสูงรวมได้ตั้งแต่ 72 – 82 เซนติเมตร ทำให้สามารถปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคนได้
  • ปลอดภัยสูง: มี จุกพลาสติกป้องกันการลื่น ที่ขาเก้าอี้ทุกด้าน ช่วยเพิ่มความมั่นคงและป้องกันอุบัติเหตุในห้องน้ำ
  • ทนทานต่อการกัดกร่อน: วัสดุมีความแข็งแรงและทนทานต่อการกัดกร่อนจากน้ำและสบู่อย่างดี

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
มีพนักพิงและที่นั่งกว้าง นั่งสบายและช่วยให้พักพิงหลังได้อย่างมั่นคงการทำความสะอาด ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเพื่อยืดอายุการใช้งาน
ปรับความสูงได้ ถึง 5 ระดับ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถวางเท้าบนพื้นได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยไม่สามารถพับได้ อาจไม่สะดวกในการจัดเก็บหรือขนย้ายหากมีพื้นที่จำกัด
มีจุกกันลื่น ช่วยยึดเกาะกับพื้นผิวที่เปียกได้ดี ลดความเสี่ยงในการลื่นล้มต้องตรวจสอบความแน่นหนา ของเก้าอี้และจุดปรับระดับก่อนใช้งานทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
ทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับใช้งานในห้องน้ำที่มีความชื้นสูงดีไซน์ เป็นแบบพื้นฐาน ไม่มีฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ เช่น ช่องสำหรับวางสบู่

6.Eazy Care เก้าอี้เคลื่อนย้าย รถเข็นอาบน้ำ รุ่น Flexi ระบบไกรหมุนปรับมือ สีเหลือง

Eazy Care เก้าอี้เคลื่อนย้าย รถเข็นอาบน้ำ รุ่น Flexi ระบบไกรหมุนปรับมือ สีเหลือง

เก้าอี้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย/รถเข็นอาบน้ำ รุ่น Flexi สีเหลือง จาก Eazy Care เป็นเก้าอี้อเนกประสงค์ที่ออกแบบมาเพื่อ ลดความเสี่ยงในการยกหรืออุ้มผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ดูแล

ตัวเก้าอี้มีระบบไกรหมุน (Swivel System) สำหรับปรับระดับความสูงและพนักพิงที่กางออกได้ 180 องศา โครงสร้างทำจาก Carbon Steel (เหล็กคาร์บอน) แข็งแรง ทนน้ำ รองรับน้ำหนักสูงสุด 120 กก.

จุดเด่นสินค้า

  • ฟังก์ชัน 3-in-1: สามารถใช้แทนรถเข็นวีลแชร์, เก้าอี้อาบน้ำ (ใช้ร่วมกับสุขภัณฑ์ได้ทุกรุ่น), และเก้าอี้รับประทานอาหารได้
  • ระบบเคลื่อนย้ายง่าย: พนักพิงสามารถกางออกได้ถึง 180 องศา ช่วยให้การรับ-ส่งผู้ป่วยจากเตียงทำได้ง่าย โดยไม่ต้องยกหรืออุ้ม
  • ปรับระดับความสูงได้: สามารถปรับระดับความสูงได้แม้อยู่ในขณะที่ผู้ใช้งานนั่งอยู่ (ใช้งานได้กับเตียง/โซฟาสูง 30-67 ซม.)
  • ความปลอดภัยสูง: มีระบบล็อค 2 ชั้น (Double Lock) และล้อทั้ง 4 ล้อมีตัวล็อค เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัย
  • วัสดุทนน้ำ: วัสดุกันน้ำทั้งคัน โครงสร้าง Carbon Steel แข็งแรงและทำความสะอาดง่าย

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Pros)ข้อเสีย (Cons)
ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและผู้สูงอายุ (ไม่ต้องยก/อุ้ม)ราคาสูง กว่าเก้าอี้อาบน้ำหรือรถเข็นวีลแชร์แบบธรรมดา
ใช้งานอเนกประสงค์ ใช้แทนรถเข็นวีลแชร์, เก้าอี้อาบน้ำ, และเก้าอี้ทานอาหารได้น้ำหนักมาก เนื่องจากมีโครงสร้างที่แข็งแรง (ข้อมูลสินค้าไม่ได้ระบุน้ำหนักรวม)
ปรับระดับความสูงได้ง่าย แม้ผู้ใช้งานนั่งอยู่บนเก้าอี้ต้องใช้พื้นที่ว่างด้านล่างเตียง/โซฟา อย่างน้อย 14 ซม. เพื่อให้ฐานเก้าอี้สอดเข้าได้
พนักพิงกางออก 180 องศา สะดวกและปลอดภัยในการรับ-ส่งผู้ใช้งานระหว่างเตียงกับเก้าอี้ต้องมีการตรวจสอบ ระบบล็อคของล้อและตัวเก้าอี้ก่อนใช้งานทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย

7.เตียงรถเข็นพยาบาลฉุกเฉิน แบบปรับนั่ง-นอนได้ BEST ONE รุ่น ZYJK-E-3

เตียงรถเข็นพยาบาลฉุกเฉิน แบบปรับนั่ง-นอนได้ BEST ONE รุ่น ZYJK-E-3

เตียงรถเข็นพยาบาลฉุกเฉิน รุ่น ZYJK-E-3 จาก BEST ONE เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน สามารถ ปรับจากเตียงเป็นเก้าอี้ได้ ทำให้สะดวกในการขนย้ายในพื้นที่จำกัด

โครงสร้างทำจาก อลูมิเนียมอัลลอย น้ำหนักเบา ทนทาน และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 159 กิโลกรัม

จุดเด่นสินค้า

  • ฟังก์ชัน 2-in-1: สามารถปรับจากเตียงนอนเป็นเก้าอี้ได้โดยง่าย เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายในที่แคบ เช่น ลิฟต์ หรือทางเดินที่จำกัด
  • โครงสร้างเบาและทนทาน: ผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอย มีน้ำหนักเบาและทนทาน ทำความสะอาดง่าย
  • พับเก็บสะดวก: ขาสามารถพับเก็บได้อัตโนมัติเมื่อเข็นขึ้นรถพยาบาล และกางออกเองเมื่อเข็นลง ทำให้สามารถใช้เจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวในการนำผู้ป่วยขึ้น-ลงรถพยาบาล
  • ปรับพนักพิงได้: เบาะเป็นฟองน้ำหนา และพนักพิงสามารถปรับระดับได้ เพื่อความสบายของผู้ป่วย
  • มาตรฐานความปลอดภัย: ผ่านมาตรฐานสากลด้านเครื่องมือแพทย์หลายรายการ (เช่น EN ISO 14971, EN 1865-1) พร้อมมีราวกั้นที่สามารถพับได้เพื่อป้องกันผู้ป่วยตก

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดีข้อเสีย
ฟังก์ชัน 2-in-1: ปรับจากเตียงนอนเป็นเก้าอี้ได้ เหมาะสำหรับเคลื่อนย้ายในพื้นที่จำกัด (เช่น ลิฟต์)ราคาสูง เหมาะสำหรับโรงพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยเฉพาะ
ขาสามารถพับได้อัตโนมัติ ทำให้การนำผู้ป่วยขึ้น-ลงรถพยาบาลใช้เจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อกางออกเต็มที่ (ยาว 196 ซม.) อาจกินพื้นที่ในบ้านหรือทางเดินแคบ
โครงสร้างผลิตจาก อลูมิเนียมอัลลอยด์ มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงและทนทาน รองรับน้ำหนักได้ถึง 159 กก.เป็นแบบ ปรับมือ (Manual) ไม่ใช่ระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจต้องออกแรงในการปรับระดับ
ผ่าน มาตรฐานสากล (เช่น EN 1865-1) พร้อมราวกั้นด้านข้าง ช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยขณะเคลื่อนย้ายต้องมีการตรวจสอบระบบล็อค และความแน่นหนาของอุปกรณ์ก่อนใช้งานทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

8.เตียงผู้ป่วยระบบมือหมุน 2ไกร์ ราวสไลด์ THAI SUN SPORT รุ่น 2A43

เตียงผู้ป่วยระบบมือหมุน 2ไกร์ ราวสไลด์ THAI SUN SPORT รุ่น 2A43

เตียงผู้ป่วยระบบมือหมุน 2 ไกร์นี้เหมาะสำหรับทั้งการดูแลผู้ป่วยระยะยาวที่บ้านหรือการใช้งานในสถานพยาบาลย่อย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความสะดวกสบายหรูหราแบบ โรงพยาบาลเอกชน แต่เน้นฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นและแข็งแรงทนทานแบบ โรงพยาบาลรัฐบาล ให้คุณสามารถปรับส่วนหลังและส่วนขาได้ง่ายด้วยมือหมุน

จุดเด่นสินค้า

  • ระบบ 2 ไกร์ (2-Crank): สามารถปรับระดับส่วนหลัง (พนักพิง) และส่วนขาของผู้ป่วยได้ด้วยมือหมุน
  • ราวสไลด์: มีราวกั้นด้านข้างที่สามารถเลื่อนขึ้น-ลงได้ง่าย เพื่อป้องกันผู้ป่วยพลัดตกและอำนวยความสะดวกในการขึ้น-ลงเตียง
  • โครงสร้างทนทาน: มักผลิตจากเหล็กหรือวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง
  • ล้อพร้อมเบรก: มีล้อที่แข็งแรงพร้อมระบบเบรคล็อกล้อได้ เพื่อความมั่นคงขณะผู้ป่วยเข้า-ออกเตียงหรือทำกิจกรรม

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดีข้อเสีย 
ราคาประหยัด เนื่องจากเป็นระบบมือหมุน ทำให้มีราคาต่ำกว่าเตียงไฟฟ้าระบบเดียวกันต้องใช้แรงคน ผู้ดูแลต้องออกแรงหมุนเพื่อปรับระดับเตียง
บำรุงรักษาง่าย โครงสร้างไม่ซับซ้อน ทำให้ซ่อมบำรุงหรือทำความสะอาดได้ง่ายปรับระดับได้จำกัด สามารถปรับได้แค่ 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนหลังและส่วนขา ไม่สามารถปรับความสูง-ต่ำของเตียงทั้งหมดได้
ใช้งานได้แม้ไฟดับ เนื่องจากเป็นระบบมือหมุน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟฟ้าใช้เวลาปรับนานกว่า การปรับระดับด้วยมือหมุนจะใช้เวลานานและไม่รวดเร็วเท่าระบบไฟฟ้า
ทนทานสูง โครงสร้างกลไกไม่ซับซ้อน โอกาสเกิดความเสียหายน้อยไม่สะดวกสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องปรับท่าบ่อยครั้งด้วยตนเอง

9.เตียงผู้ป่วยปรับไฟฟ้า ออลล์เวล Venta

เตียงผู้ป่วยปรับไฟฟ้า ออลล์เวล Venta

เตียงผู้ป่วยระบบไฟฟ้า All Well รุ่น VENTA ออกแบบมาเพื่อมอบความสะดวกสบายและฟังก์ชันการปรับที่หลากหลายแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล ซึ่งเป็น ข้อดีของโรงพยาบาลเอกชน ที่มุ่งเน้นบริการที่รวดเร็วและครบครัน โดยสามารถปรับท่าทางได้อย่างง่ายดายด้วยรีโมทคอนโทรล ทำให้การดูแลมีประสิทธิภาพและลดภาระของผู้ดูแล

จุดเด่นสินค้า

  • ระบบปรับไฟฟ้า: สามารถปรับระดับส่วนหลัง, ส่วนขา, และความสูง-ต่ำของเตียงได้ง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล ลดภาระผู้ดูแล
  • เพิ่มความสะดวกสบาย: การปรับท่าทางทำได้อย่างราบรื่นและแม่นยำ ช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน (เช่น แผลกดทับ)
  • ราวกั้นด้านข้าง: มีราวกั้นที่แข็งแรงและปลอดภัย ช่วยป้องกันผู้ป่วยพลัดตกจากเตียง
  • ล้อพร้อมระบบล็อค: มีล้อที่ทนทานพร้อมตัวล็อค เพื่อความมั่นคงสูงสุดเมื่อเตียงจอดอยู่กับที่

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดีข้อเสีย
ปรับง่ายและแม่นยำ: สามารถปรับท่าทางด้วยรีโมทคอนโทรลได้หลายฟังก์ชันในปุ่มเดียวราคาสูง: มีราคาสูงกว่าเตียงระบบมือหมุนมาก
สะดวกต่อผู้ป่วย: ผู้ป่วยสามารถปรับท่าทางเองได้โดยไม่ต้องรบกวนผู้ดูแลต้องพึ่งพาไฟฟ้า: หากไฟดับหรือแบตเตอรี่สำรองหมด ฟังก์ชันปรับระดับจะไม่สามารถใช้งานได้
ลดภาระผู้ดูแล: ไม่ต้องใช้แรงในการหมุนไกร์ปรับระดับการบำรุงรักษาสลับซับซ้อน: ระบบไฟฟ้ามีความซับซ้อนและต้องมีการดูแลรักษามากกว่าเตียงมือหมุน
ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว/หรูหรา: มักมีดีไซน์ที่ทันสมัยและฟังก์ชันครบครัน คล้ายคลึงกับเตียงใน โรงพยาบาลเอกชน ชั้นนำขนาดใหญ่: อาจใช้พื้นที่มากกว่าเตียงปกติ และการขนย้ายทำได้ยากกว่า

10.เตียงผู้ป่วยปรับมือ 2 ไกร รุ่น A232P พร้อมที่นอน 4 ตอน สูง 5 ซม.

เตียงผู้ป่วยปรับมือ 2 ไกร รุ่น A232P พร้อมที่นอน 4 ตอน สูง 5 ซม.

เตียงผู้ป่วยระบบมือหมุน 2 ไกร์ รุ่น A232P เป็นเตียงพื้นฐานที่ทนทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเรียบง่ายและลดต้นทุนการดูแลผู้ป่วยระยะยาวที่บ้าน คล้ายกับเตียงที่พบเห็นได้ทั่วไปใน โรงพยาบาลรัฐบาล ที่เน้นความแข็งแรงใช้งานได้จริง มากกว่าความสะดวกสบายและนวัตกรรมใหม่ ๆ แบบ โรงพยาบาลเอกชน

จุดเด่นสินค้า

  • ระบบ 2 ไกร์ (2-Crank): สามารถปรับระดับส่วนหลัง (พนักพิง) และส่วนขาของผู้ป่วยด้วยมือหมุนได้อย่างอิสระ
  • พร้อมที่นอน 4 ตอน: มาพร้อมที่นอนโฟมความหนา 5 ซม. ที่รองรับสรีระตามการปรับของเตียง
  • โครงสร้างแข็งแรง: มักทำจากวัสดุเหล็กพ่นสีหรืออลูมิเนียมคุณภาพดี ทนทานต่อการใช้งาน
  • ราวกั้นเตียง: มีราวกั้นด้านข้างเพื่อป้องกันผู้ป่วยพลัดตก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี ข้อเสีย
ราคาถูก/ประหยัด: มีราคาต่ำกว่าเตียงไฟฟ้าระบบเดียวกันมาก เหมาะสำหรับงบประมาณจำกัดต้องใช้แรงผู้ดูแล: การปรับระดับต้องใช้แรงมือหมุน ไม่สะดวกสำหรับผู้ดูแลที่เป็นผู้สูงอายุ
บำรุงรักษาน้อย: โครงสร้างเชิงกลไม่ซับซ้อน ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานและง่ายต่อการซ่อมบำรุงความเร็วในการปรับช้า: ใช้เวลานานในการปรับระดับ และไม่รวดเร็วทันใจเท่าระบบไฟฟ้า
ใช้งานได้ตลอดเวลา: ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการปรับระดับ จึงไม่มีปัญหาหากเกิดไฟฟ้าดับปรับระดับได้จำกัด: ปรับได้เพียง 2 ส่วนหลัก (หลังและขา) ไม่สามารถปรับความสูง-ต่ำของเตียงทั้งหมดได้
มาพร้อมที่นอน: มีที่นอน 4 ตอนความหนา 5 ซม. แถมมาในชุด ทำให้ไม่ต้องซื้อเพิ่มความหนาที่นอนต่ำ: ที่นอนหนา 5 ซม. อาจบางเกินไปสำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องการป้องกันแผลกดทับเป็นพิเศษ

รู้จักประเภทของอุปกรณ์ทางการแพทย์ 

อุปกรณ์ทางการแพทย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วย โดยทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน สามารถแบ่งประเภทหลัก ๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งานและระดับความเสี่ยงได้ดังนี้

  • อุปกรณ์วินิจฉัยโรค (Diagnostic Devices): ใช้เพื่อตรวจหาโรคหรือความผิดปกติในร่างกาย เช่น เครื่องอัลตราซาวด์, เครื่องเอกซเรย์, หรือชุดทดสอบน้ำตาลในเลือด
  • อุปกรณ์รักษาโรค (Therapeutic Devices): ใช้เพื่อบำบัดหรือรักษาอาการป่วย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ, เครื่องฟอกไต, หรือเครื่องช่วยหายใจ
  • อุปกรณ์ช่วยฟื้นฟู (Rehabilitation Devices): ใช้สำหรับช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย เช่น รถเข็นวีลแชร์, อุปกรณ์ช่วยเดิน (ไม้เท้า), หรืออุปกรณ์กายภาพบำบัด
  • วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (Consumables): เป็นอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งต้องถูกสุขอนามัยและปลอดภัย เช่น เข็มฉีดยา, ถุงมือยาง, ผ้าก๊อซ, หรือชุดตรวจโรคแบบเร็ว
  • อุปกรณ์ฝังในร่างกาย (Implants): เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อติดตั้งหรือฝังในร่างกายเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ เช่น ข้อต่อเทียม, เลนส์ตาเทียม, หรือเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ

หลักการเลือกสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในโรงพยาบาล 

การเลือกอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล vs โรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย โดยมีหลักการสำคัญดังนี้ค่ะ

  • มาตรฐานและการรับรองคุณภาพ: สินค้าต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และมีมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง (เช่น ISO) เพื่อรับประกันความปลอดภัย
  • ความเข้ากันได้กับการใช้งาน (Compatibility): ต้องเลือกอุปกรณ์ที่เข้ากันได้กับระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และเครื่องมืออื่น ๆ ที่โรงพยาบาลมีอยู่ เพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
  • ความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย: ควรเลือกจากบริษัทที่มีชื่อเสียง มีประสบการณ์ และมีบริการหลังการขายที่ดี รวมถึงการจัดหาอะไหล่และคำแนะนำการใช้งานที่ชัดเจน
  • อายุการใช้งานและความคุ้มค่า: ต้องพิจารณาทั้งต้นทุนเริ่มต้น อายุการใช้งาน ค่าบำรุงรักษา และประสิทธิภาพที่ได้รับ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางการเงินในระยะยาว
  • ง่ายต่อการใช้งานและบำรุงรักษา: อุปกรณ์ควรมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และมีกระบวนการทำความสะอาด/บำรุงรักษาที่ไม่ซับซ้อน เพื่อรักษาความพร้อมในการใช้งานสูงสุด

จบคำถาม โรงพยาบาลรัฐบาล vs โรงพยาบาลเอกชน รู้ก่อนตัดสินใจรักษา 

ก่อนตัดสินใจเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล vs โรงพยาบาลเอกชน หลายคนคงมีคำถามคาใจมากมาย OFM สรุปมาให้แล้วกับ 3 คำถามเด็ดที่ควรรู้ก่อน 

1. ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลรัฐบาลกับเอกชนต่างกันมากน้อยแค่ไหน?

ค่าใช้จ่ายของ โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน แตกต่างกันอย่างมาก โดยค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนอาจสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลถึง 3-10 เท่า เนื่องจากมีต้นทุนด้านบริการ ความสะดวกสบาย และการลงทุนเทคโนโลยีที่สูงกว่า

2. คุณภาพของแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชนแตกต่างกันหรือไม่?

คุณภาพของแพทย์โดยพื้นฐานแล้วใกล้เคียงกัน เพราะแพทย์จำนวนมากในโรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลรัฐบาลขนาดใหญ่ต่างก็มีความเชี่ยวชาญสูงและมีประสบการณ์ในการรักษาโรคซับซ้อนมาก แต่แพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนจะเน้นบริการที่รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า

3. การใช้สิทธิประกันสังคมที่โรงพยาบาลรัฐบาลหรือเอกชนดีกว่ากัน?

การใช้สิทธิประกันสังคมที่ โรงพยาบาลรัฐบาล VS โรงพยาบาลเอกชน มีความแตกต่างด้านวงเงินคุ้มครอง โดยโรงพยาบาลรัฐบาลจะเบิกได้เต็มวงเงินตามความจำเป็นมากกว่า ส่วนโรงพยาบาลเอกชนจะมีวงเงินจำกัดสำหรับการรักษาผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ทำให้ต้องพิจารณาจากความสะดวกในการเดินทางเป็นหลัก

บทสรุปโรงพยาบาลรัฐบาล Vs โรงพยาบาลเอกชน 

ไม่ว่าคุณจะเลือกโรงพยาบาลที่เน้นความประหยัดและการใช้สิทธิ์อย่าง โรงพยาบาลรัฐบาล Vs โรงพยาบาลเอกชน ที่เน้นความรวดเร็วและสะดวกสบาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย 

ซึ่งคุณสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับทุกความต้องการด้านสุขภาพและการแพทย์ได้ที่ OfficeMate (OFM) แหล่งรวมสินค้าครบวงจรสำหรับองค์กรและบุคลากรทางการแพทย์

ดีลสุดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่! 🔥

🛍️ ซื้อครบ 999.- ใส่โค้ด “NEW10” รับส่วนลด 10% (สูงสุด 1,000 บาท)

💥รับคะแนน The 1 X3 (1,000 บาท)

🎯 ยิ่งช้อป ยิ่งลด! อย่าพลาดดีลสุดคุ้มวันนี้!

📌 ช้อปเลย 👉  https://www.ofm.co.th

0 CommentsClose Comments

Leave a comment