Resilience Product คือโซลูชันด้านการบริหารความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้บริษัทรับมือความไม่แน่นอนอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านปฏิบัติการ เทคโนโลยี และความต่อเนื่องทางธุรกิจ ช่วยองค์กรคาดการณ์ ป้องกัน และฟื้นตัวได้รวดเร็วจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญขององค์กรยุคใหม่ที่ต้องการความมั่นคงและยืดหยุ่นสูงสุด

Key Takeaways

  • ความสำคัญและนิยาม: Resilience Product คือโซลูชันการบริหารความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ที่ช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์ ป้องกัน และ ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาความมั่นคงและความต่อเนื่องทางธุรกิจ
  • ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยงในยุคปัจจุบัน เช่น ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Ransomware และ IT Downtime), ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Volatility), และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ
  • แตกต่างจาก Risk Management: Resilience Management มุ่งเน้นไปที่ ความสามารถในการฟื้นตัว และดำเนินธุรกิจต่อได้แม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด (เน้นการอยู่รอด) ในขณะที่ Risk Management เน้นการป้องกันและลดโอกาสเกิดปัญหา (เน้นการควบคุม)
  • องค์ประกอบหลักของโซลูชัน: ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ เช่น การเฝ้าระวังแบบ Real-time Monitoring, การจำลองเหตุการณ์ (Scenario Analysis), การผสานรวมกับแผน BCP (Business Continuity Planning) และการใช้ระบบ Automation เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว

Table of Contents

ความเสี่ยงอะไรที่ทำให้เราจำเป็นต้องใช้ Resilience Product ?

ในยุคที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ทุกวัน องค์กรไม่อาจพึ่งพาการป้องกันแบบเดิมอีกต่อไป ความเสี่ยงรอบด้านตั้งแต่เทคโนโลยี ห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงกฎเกณฑ์ใหม่ ทำให้การมี Resilience Product กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งและความต่อเนื่องทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

1. ความเสี่ยงทางไซเบอร์และ IT Downtime (Cyber and IT Risk)

ภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการโจมตีข้อมูล ระบบล่ม และ Ransomware เมื่อธุรกิจหยุดชะงักแม้เพียงไม่กี่นาที อาจก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล Resilience Product จึงเข้ามาช่วยเฝ้าระวัง คาดการณ์ และสร้างแผนตอบสนองที่ฟื้นระบบได้รวดเร็ว ลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเชื่อมั่นของลูกค้า

2. ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Volatility)

โลจิสติกส์ขาดช่วง วัตถุดิบล่าช้า หรือความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ล้วนทำให้ธุรกิจเกิดภาวะสะดุด การใช้ Resilience Product ช่วยให้องค์กรมองเห็นความเสี่ยงล่วงหน้า ประเมินจุดเปราะบาง และวางโครงสร้างสำรองเพื่อให้กระบวนการผลิต–ส่งมอบเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

3. การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและสิ่งแวดล้อม (Regulatory and ESG Shifts)

กฎใหม่ด้านข้อมูล สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลธุรกิจมักปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ส่งผลต่อทั้งต้นทุน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และภาพลักษณ์องค์กร Resilience Product ช่วยติดตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ประเมินความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ และจัดทำมาตรการปรับตัวเพื่อให้องค์กรเดินหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและแข่งขันได้ในระยะยาว

ความแตกต่างระหว่าง Risk Management Vs Resilience Management

ถ้าหากพูดถึง Resilience Management หลายคงคิดว่ามันใกล้เคียงกับ Risk Management ที่เป็นการบริหารความเสี่ยงเหมือนกัน OFM เปรียบเทียบมาให้ดูแล้วว่าการ Mangement 2 แบบนี้ต่างกันอย่างไร 

ประเด็นเปรียบเทียบRisk ManagementResilience Management
มุมมองการจัดการเน้น ป้องกันความเสี่ยง และลดโอกาสเกิดปัญหาเน้น ความสามารถในการฟื้นตัว และดำเนินธุรกิจต่อได้แม้เกิดเหตุไม่คาดคิด
ขอบเขตการวิเคราะห์มองความเสี่ยงเป็นเหตุการณ์เฉพาะที่ต้องควบคุมมองภาพรวมขององค์กร รวมถึงความเชื่อมโยงและผลกระทบข้ามระบบ
วิธีการตอบสนองมีแผนรับมือเมื่อความเสี่ยงเกิดขึ้นมีทั้งแผนรับมือ ฟื้นตัว และปรับตัวให้แข็งแกร่งกว่าเดิม
เป้าหมายหลักลดความสูญเสียจากความเสี่ยงเพิ่ม ความยืดหยุ่น และ ความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในทุกสถานการณ์
มุมมองระยะยาวมุ่งลดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์มุ่งสร้างองค์กรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน

ส่ององค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Resilience Product มีประโยชร์ต่อองค์กร 

เพื่อให้ Resilience Product ทำงานได้เต็มศักยภาพ องค์กรจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบเบื้องหลังที่ช่วยเสริมพลังการคาดการณ์ รับมือ และฟื้นตัวจากความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ องค์ประกอบเหล่านี้คือหัวใจที่ทำให้ธุรกิจยืดหยุ่นและเดินหน้าต่อได้ในทุกสถานการณ์

  • Real-time Monitoring & Early Warning ตรวจจับความเสี่ยงแบบทันที พร้อมแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุรุนแรง ช่วยให้องค์กรมีเวลาตัดสินใจและปรับแผนล่วงหน้า
  • Scenario Analysis & Stress Testing จำลองเหตุการณ์หลายรูปแบบเพื่อดูผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้ผู้นำสามารถเลือกกลยุทธ์รับมือที่พร้อมที่สุด
  • Business Continuity Planning (BCP) Integration ผสานระบบกับแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ช่วยให้กระบวนการสำคัญเดินหน้าต่อแม้เกิดเหตุหยุดชะงัก
  • Automation & Rapid Response Tools

ใช้ระบบอัตโนมัติในการแก้ปัญหาเบื้องต้น ลดเวลาการหยุดชะงักและลดต้นทุนจาก downtime

  • Data-Driven Decision Making รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง วิเคราะห์เชิงลึก และเสนอแนวทางตัดสินใจที่แม่นยำ ทำให้องค์กรวางกลยุทธ์ได้มั่นคงขึ้นในระยะยาว

ตัวอย่างการแก้ปัญหาโดยการใช้ Resilience Management   

สำหรับคนที่ต้องการเห็นภาพการแก้ปัญหาด้วย Resilience Product ให้ชัดเจนขึ้น OFM รวมมาให้แล้วกับ 3 เคสที่ประสบความสำเร็จ 

ตัวอย่างจริง 1: Maersk รับมือ NotPetya Ransomware (Cyber Resilience)

ในปี 2017 Maersk ถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ NotPetya จนระบบทั่วโลกหยุดทำงานกว่า 49,000 เครื่อง แต่บริษัทสามารถฟื้นฟูระบบได้ภายในเพียง 10 วัน เพราะมีการเตรียมแผน Cyber Resilience ล่วงหน้า ทั้งระบบสำรองข้อมูลแบบกระจายที่ช่วยให้กู้ข้อมูลจากสำนักงานสาขาที่ไม่ถูกโจมตีได้ และมี playbook การฟื้นตัวที่กำหนดขั้นตอนอย่างชัดเจน

ตัวอย่างจริง 2: Toyota หยุดผลิตจากปัญหา Supplier ชิ้นส่วน (Supply Chain Resilience)

ปี 2022 Toyota ต้องหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงาน 14 แห่งทั่วญี่ปุ่นชั่วคราว หลังซัพพลายเออร์รายสำคัญถูกโจมตีไซเบอร์จนระบบส่งอะไหล่หยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม Toyota สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีระบบประเมินความเสี่ยงผู้ขายแบบเรียลไทม์ รายชื่อซัพพลายเออร์สำรองที่ผ่านการประเมินล่วงหน้า

ตัวอย่างจริง 3: Singapore Airlines กับการจัดการวิกฤตโควิด-19 (Crisis Management)

หลังจบช่วงโควิด-19 Singapore Airlines สามารถฟื้นตัวเร็วกว่าหลายองค์กรเพราะมีระบบ Resilience Management ที่แข็งแรง เริ่มจากความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการเดินทางแบบเรียลไทม์ การเปิดศูนย์ Crisis Operations Center ภายในเวลาอันสั้น เพื่อประเมินสถานการณ์และสื่อสารคำสั่งไปทุกฝ่าย รวมถึงการปรับฝูงเครื่องบิน เส้นทางบิน และโครงสร้างต้นทุนอย่างยืดหยุ่นตามข้อมูลจริง

แนะนำ Resilience Product ที่คุณควรรู้จัก

OFM รวมให้แล้วกับสินค้า Resilience Product ที่อยากแนะนำ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

1.BESBOND ปูนซ่อมแซมอเนกประสงค์ รุ่น SUPER CEM ขนาด 5 กก. สีเทา

BESBOND ปูนซ่อมแซมอเนกประสงค์ รุ่น SUPER CEM ขนาด 5 กก. สีเทา

ปูนซ่อมแซมเอนกประสงค์ BESBOND Super Cem ขนาด 5 กก. สีเทา เป็นปูนสำเร็จรูปที่ใช้ซ่อมแซมรอยแตกร้าว รูพรุน หรือพื้นผิวคอนกรีต/ปูนทั่วไปได้อย่างรวดเร็ว มีคุณสมบัติยึดเกาะสูงและแข็งแรงทนทาน

จุดเด่นสินค้า

  • แห้งเร็วและใช้งานง่าย: เป็นปูนสำเร็จรูป เพียงผสมน้ำตามสัดส่วนก็พร้อมใช้งานได้ทันที และเซ็ตตัวได้รวดเร็ว
  • กำลังอัดสูง: มีคุณสมบัติในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และให้ความแข็งแรงทนทานหลังการซ่อมแซม
  • ใช้งานได้หลากหลาย: เหมาะสำหรับงานซ่อมแซมทั่วไป ทั้งรอยแตกร้าวเล็กน้อย รูพรุน หรือการปรับพื้นผิว
  • ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม: ขนาด 5 กก. สะดวกต่อการขนย้ายและเหมาะสำหรับงานซ่อมแซมที่ไม่ใหญ่มาก

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Advantages)ข้อเสีย (Disadvantages)
ซ่อมแซมได้รวดเร็ว เนื่องจากมีการเซ็ตตัวที่ไวมีข้อจำกัดด้านปริมาณ ขนาด 5 กก. ไม่เหมาะกับงานซ่อมแซมขนาดใหญ่
ใช้งานง่าย เพียงผสมน้ำ ไม่ต้องเตรียมวัสดุหลายชนิดต้องใช้ความระมัดระวัง ในการผสมและฉาบ เนื่องจากแห้งเร็ว
แรงยึดเกาะสูง และทนทาน ทำให้งานซ่อมมีคุณภาพอาจมีราคาสูงกว่า ปูนทรายหรือปูนซีเมนต์ทั่วไปต่อหน่วยน้ำหนัก
อเนกประสงค์ ใช้ได้ทั้งงานซ่อมแซมคอนกรีตและงานฉาบอายุการใช้งาน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความชื้นหลังเปิดใช้

2.ซิลิโคนยาแนว ชนิดไร้กรด TOA รุ่น HP Silicone ขนาด 280 ม

ซิลิโคนยาแนว ชนิดไร้กรด TOA รุ่น HP Silicone ขนาด 280 ม

ซิลิโคนยาแนว TOA รุ่น HP Silicone เป็นซิลิโคน 100% ชนิดเป็นกลาง (ไร้กรด) กลิ่นไม่ฉุน มีความยืดหยุ่นสูง ใช้สำหรับยาแนว อุดรอยต่อ และกันรั่วซึมกับวัสดุหลากหลายชนิด เช่น กระจก อะลูมิเนียม และคอนกรีต ทนทานต่อรังสียูวี สภาพอากาศ และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานภายในและภายนอก

จุดเด่นสินค้า

  • ชนิดไร้กรด (Neutral Cure): เป็นซิลิโคนชนิดเป็นกลาง กลิ่นไม่ฉุน และไม่ทำปฏิกิริยากัดกร่อนโลหะ เช่น สังกะสี หรือทองแดง
  • ยืดหยุ่นและทนทานสูง: มีความยืดหยุ่นตัวสูงมาก และมีความทนทานยาวนาน สามารถรองรับการขยับตัวของรอยต่อโดยไม่แตกร้าว
  • ทนทานต่อทุกสภาวะอากาศ: มีเสถียรภาพสูง ทนทานต่อรังสียูวี (UV) แรงสั่นสะเทือน ความชื้น และทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -50°C ถึง 150°C
  • ยึดเกาะหลากหลายวัสดุ: สามารถยึดเกาะพื้นผิวได้หลายประเภท เช่น กระจก อะลูมิเนียม คอนกรีต และเซรามิก เหมาะกับงานยาแนวทั่วไป

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดี (Advantages)ข้อเสีย (Disadvantages)
1. ไม่กัดกร่อนโลหะ และปลอดภัยต่อพื้นผิวที่บอบบาง1. แห้งตัวช้ากว่า เมื่อเทียบกับซิลิโคนชนิดมีกรด (Acid-cure)
2. ทนทานต่อ UV และสภาพอากาศภายนอกได้ดีมาก2. ไม่เหมาะกับการใช้ในที่อับ ที่ไม่มีความชื้นในอากาศ
3. ใช้ได้กับวัสดุมีรูพรุน เช่น คอนกรีต หรือปูนฉาบได้ดี3. ราคาสูงกว่า เมื่อเทียบกับซิลิโคนยาแนวชนิดอื่นทั่วไป
4. ไม่ไหลย้อย เหมาะสำหรับงานยาแนวในแนวดิ่งและเหนือศีรษะ4. ไม่เหมาะกับงานโครงสร้าง หรือการยึดติดที่รับน้ำหนักมาก

เผยปัจจัยสำคัญในการเลือก Resilience Solution 

การดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลาย การเลือก Resilience Solution ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้องค์กรสามารถฟื้นตัวและดำเนินงานต่อเนื่องได้แม้เกิดวิกฤต

  • การตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ (RTO/RPO): ต้องพิจารณาความสามารถของโซลูชันในการบรรลุเป้าหมายเวลาการกู้คืน (Recovery Time Objective – RTO) และเป้าหมายจุดที่ข้อมูลสามารถย้อนกลับไปได้ (Recovery Point Objective – RPO) ที่กำหนดโดยแต่ละหน่วยงานธุรกิจอย่างชัดเจน
  • ความครอบคลุมของภัยคุกคาม: โซลูชันที่เลือกต้องสามารถป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ (เช่น Ransomware) หรือความผิดพลาดจากมนุษย์
  • ความง่ายในการบริหารจัดการและการทดสอบ: ควรเลือกโซลูชันที่มีการจัดการจาก ศูนย์กลางเดียว (Centralized Management) และอนุญาตให้มีการ ทดสอบการกู้คืน (Disaster Recovery Testing) ได้อย่างสม่ำเสมอและง่ายดาย โดยไม่กระทบต่อระบบการทำงานจริง
  • ความคุ้มค่าและต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO): พิจารณาต้นทุนทั้งหมดของโซลูชัน ทั้งค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ใบอนุญาต (License) การบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่จัดเก็บหรือคลาวด์ เพื่อให้ได้โซลูชันที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  • การผสานรวมกับโครงสร้างพื้นฐานเดิม: โซลูชันที่เลือกควรสามารถ ทำงานร่วมกัน หรือ ผสานรวม (Integrate) ได้อย่างราบรื่นกับระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีคลาวด์ที่องค์กรใช้งานอยู่ เพื่อลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยน

คำถามน่ารู้เกี่ยว Resilience Product 

 Resilience product หรือ Resilience solution อาจจะยังเป็นเรื่องใหม่ของคนไทยในยุคปัจจุบัน OFM สรุปมาให้แล้วจากคำถามมากมายเกี่ยวกับ Resiliecnt product กับ 3 คำถามเด็ดที่คุณควรรู้

1. ทำไม Resilience Product ถึงสำคัญ?

ทำไม Resilience Product ถึงสำคัญ? Resilience Product (ผลิตภัณฑ์เสริมความยืดหยุ่นทางธุรกิจ) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้องค์กร สามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง (Business Continuity) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือวิกฤต เช่น การโจมตีทางไซเบอร์หรือระบบล่ม

2. Resilience Product มีกี่ประเภท?

โดยทั่วไปสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. Data Protection (การสำรองและกู้คืนข้อมูล), 2. Infrastructure Resilience (การทำ HA/Failover ระดับโครงสร้างพื้นฐาน) และ 3. Application Resilience (การออกแบบแอปพลิเคชันให้ยืดหยุ่น).

3. จะเลือกResilience Product ได้อย่างไร?

ควรเลือกโดยพิจารณาจาก RTO/RPO ที่ธุรกิจต้องการ, ความครอบคลุมของภัยคุกคามที่รับมือได้, ความง่ายในการบริหารจัดการและการทดสอบระบบ และต้องมั่นใจว่าสามารถผสานรวมกับโครงสร้างพื้นฐานและงบประมาณขององค์กรได้อย่างคุ้มค่า

Resilience Product ทางเลือกที่ช่วยรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน  

Resilience Product คือทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถ รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติหรือการโจมตีทางไซเบอร์

โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถ กู้คืนระบบและการดำเนินงานหลักได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความเสียหายและรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ องค์กรสามารถเลือกหาอุปกรณ์และเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจได้ครบครันที่ OFM

ดีลสุดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่! 🔥

🛍️ ซื้อครบ 999.- ใส่โค้ด “NEW10” รับส่วนลด 10% (สูงสุด 1,000 บาท)

💥รับคะแนน The 1 X3 (1,000 บาท)

🎯 ยิ่งช้อป ยิ่งลด! อย่าพลาดดีลสุดคุ้มวันนี้!

📌 ช้อปเลย 👉  https://www.ofm.co.th

0 CommentsClose Comments

Leave a comment